16 พฤษภาคม 2561

Japan In Dream Day 10 วันสุดท้ายก่อนกลับบ้าน

15 Apr 18

     วันนี้เราตื่นกันสายไม่ทันอาหารเช้าหลังจากที่เก็บของเรียบร้อยก็ลงมาเช็คเอาท์ ไปสถานีชินจูกุกันก่อนค่ะ เพราะเราต้องจองตั๋วรถไฟไปสนามบินและเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ล็อคเกอร์ก่อนค่อยออกเที่ยวต่อ เราออกจากซับเวย์แล้วมองหาป้ายสถานี JR Shinjuku จากตรงนี้เดินค่อนข้างไกล ระหว่างทางเราเห็นว่ามีตู้ล็อคเกอร์ใหญ่ๆ ว่างค่อนข้างเยอะเหมือนกัน แต่เราอยากหาที่ฝากให้ใกล้ที่สุดตอนขึ้นรถไฟไปสนามบินจะได้ไม่ต้องเดินไกล เราโชคดีอีกแล้วที่เจอตู้ใหญ่ที่ว่างเพราะกระเป๋าเราขนาด 28 และ 24 นิ้วค่ะ เสียค่าฝากใบละ 800 เยน ต้องจ่ายเป็นเหรียญเท่านั้นเราต้องวิ่งไปซื้อของเพราะแถวนี้ไม่มีเครื่องแลกเหรียญ T^T ละลายเหรียญไปเมื่อวานเอง จงเก็บใบเสร็จหรือถ่ายรูปเก็บไว้ให้ดีเพราะตอนเอาออกเราต้องมากดรหัสนี้เพื่อเปิดตู้ค่ะ


     ฝากของแล้วก็ไปจองตั๋วขากลับเราเลือกนั่ง N'ex ในการเดินทางเข้าสนามบินค่ะ ราคาจะแพงกว่า Keisei Skyliner แต่เราไม่ต้องต่อรถไปหลายรอบสำหรับใครที่พักชินจูกุเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียวค่ะ เครื่องเราออก 21.40 น. เราทำการเช็คอินเรียบร้อยแล้วเลยไม่ต้องห่วงอะไรมาก แต่เรากับแฟนคิดว่าไม่อยากรีบเพื่อเวลาซื้อของที่สนามบินกันอีกนิดหน่อยดีกว่า เราเลยเลือกกลับ N'ex รอบ 15.40 นาที ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ถึงสนามบินนาริตะค่ะ

วิธีเดินทาง: Shinjuku >> Narita Airport / Terminal 2


    ฝากกระเป๋าจองตั๋วแล้วเราก็ไปหาข้าวกินแถวฮาราจุกุกันก่อนยังไม่ได้กินข้าวกันเลย เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งกันไปซะก่อน ร้านนี้ชื่อว่า "Roast Beef Ohno" เป็นร้านข้าวหน้าเนื้อที่ไม่ธรรมดาเพราะมีเมนูที่ใช้เนื้อวากิวและเนื้อออสเตรเลียคะ แน่นอนว่าเรามาถึงญี่ปุ่นก็ต้องเลือกกินเนื้อวากิวเป็นธรรมดา เราเลือกชามเล็กสุดเพราะกลัวจะกินไม่หมด ราคาอยู่ที่ 1,620 เยน แต่มันอร่อยมากเนื้อนุ่มละลายในปาก หอม หวาน มัน ดีต่อใจสำหรับคนชอบเนื้อ เราจัดให้เมนูนี้เป็นที่สุดของทริปค่ะ


     ตอนเรามาถึงร้านยังไม่มีคิวเลยที่นั่งยังว่างหลายที่แต่พอเรากินเสร็จเดินออกมาปรากฏว่าคิวร้านนี้ยาวมาก นั่งรถไปต่อไปที่ชิบูย่าเพื่อไป Tokyu Hand ร้านนี้จะเน้นพวกของ DIY เราอยากได้ของน่าสนใจไปฝากที่บ้านและเรากับแฟนอยากได้ปากกาเลยต้องมาแวะค่ะ สาขานี้ค่อนข้างใหญ่มีทั้งหมด 9 ชั้น แต่ละชั้นยังแบ่งเป็นย่อยๆ เป็นโซน A B C อีกด้วย เดินกันขาลากเลยทีเดียวเพราะที่นี่มีตั้งแต่อุปกรณ์เดินป่ายันของใช้สัตว์เลี้ยง ของคุณภาพค่อนข้างดีราคาก็ตามคุณภาพค่ะ

ปากกา 4 แท่ง ราคาเกือบพัน
    เราหมดเงินกับห้างนี้ไปประมาณ 3 พันกว่าบาท เป็นห้างที่ได้ของน้อยชิ้นที่สุดและละลายทรัพย์ไวที่สุด ขนาดว่าเรากับแฟนตัดใจไม่ซื้อของหลายอย่างแล้วยังหมดกันขนาดนี้ ที่เราได้มามีกริ่งติดจักรยานเสียงใสๆ ไฟติดจักรยาน ไฟคาดหัวสำหรับทำงานช่าง  ยาสระผมชิเซโด้ กระเป๋าดินสอ และปากกา 6 ด้าม

     เราอยู่ในนี้กันตั้งแต่เที่ยงจนเกือบบ่ายสามคิดว่ากลับไปหาที่นั่งพักแถวสถานีชินจูกุดีกว่า นั่ง JR กลับมาชินจูกุงานงอกอีเว้นเกิดค่ะ เราสองคนลืมว่าฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อคเกอร์ตรงไหน เราจำได้แค่ว่ามีสตาร์บัคอยู่ใกล้ๆ มีร้านขายของสีเขียว ใกล้เค้าเตอร์ขายตั๋วชินคันเซ็น วิ่งหากันอยู่ 10 นาทีกว่าจะเจอค่ะ เล่นเอาเหนื่อยกันเลยทีเดียว สำหรับใครที่จะฝากกระเป๋าที่ล็อคเกอร์เราแนะนำให้ปักหมุดไว้ค่ะอย่ามั่นใจในการจำแบบเรา

     ได้เวลาลากกระเป๋ากลับบ้านแล้ว มองดูบนจอว่า N'ex รอบ 15.40 น. ต้องไปขึ้นที่ Platform 5 ระยะทางเดินจากจุดที่ขายตั๋วไปขึ้น N'ex ค่อนข้างไกลดีที่เราเผื่อเวลาไว้ไม่งั้นได้วิ่งกันอีกแน่ๆ


     เราจองที่นั่งไว้ที่ Car No. 4 / 7A และ 7B ค่ะ พอรถมาเราก็เก็บกระเป๋าแล้วเดินมานั่งประจำที่ตัวเอง เราพบความจริงอันโหดร้ายที่ว่า N'ex จอดที่ชิบูย่าด้วย เป็นความผิดพลาดของเราเองที่ไม่เช็คให้ดีก่อนเสียเวลาวิ่งไปวิ่งมาเราจำแค่ว่าต้องขึ้นที่ชินจูกุอย่างเดียว T^T


     ด้วยความเหนื่อยเราหลับไปเกือบตลอดทางแต่ก็ยังระแวงกลัวจะลงผิด Teminal เราต้องลงที่ T.2 ถ้านั่งเลยไปลง T.1 คงทำให้เสียเวลาอีกแน่วันนี้เราวิ่งกันพอแล้ว (ตั๋วที่จองมาเป็น T.1 คาดว่าพนักงานอาจจะจองให้จนสุดสายยังไงก็ราคาเดียวกัน) พอใกล้ถึงเราก็ปลุกแฟนงานวิ่งยังไม่จบค่ะเพราะเราดันลืมว่าเอากระเป๋าไว้ด้านหน้าหรือด้านหลังรถไฟ เราบอกด้วยความมั่นใจด้านหน้านะ เดินไปด้วยความั่นหน้าสุดท้ายต้องออกจากรถแล้ววิ่งกลับไปด้านหลังค่ะ แฟนไขกระเป๋าออกไปแล้วส่วนเราไขได้แต่สายคล้องพันกันลำบากคนไปด้วยต้องมาแกะออกให้ลากกระเป๋าลงมาสองใบ 5555555555+++


     เราถึงสนามบินนาริตะประมาณห้าโมงกว่าๆ ผลของการวิ่งไปวิ่งมาหลายรอบทำให้เรากับแฟนเริ่มรู้สึกหิว เลยตกลงกันว่าจะขึ้นไปหาอะไรกินกันก่อนเดินวนดูหลายร้านตัดสินใจเข้าร้าน "Asian Cafe BlowBlow" สั่งอาหารมาคนละเซ็ต เราหาที่นั่งใกล้ๆ ริมหน้าต่างที่คนไม่พลุกพล่านพอเครื่องส่งสัญญานดังก็เดินไปรับอาหารที่สั่งไว้


     เราจำราคาแน่นอนไม่ได้แต่ราคาน่าจะตกเซ็ตละประมาณ 1,500 เยนค่ะ รสชาติอร่อยตามสไตล์ญี่ปุ่น เนื้อดีต่อใจดีต่อประสาทรับรู้รสของเรามาก ส่วนของแฟนเราเป็นข้าวหน้าไก่เทอริยากิรสชาติก็โอเคแต่ของเราอร่อยกว่า (^0^)


     กินข้าวเรียบร้อยแล้วเราก็แวะซื้อขนมกลับบ้านกันอีกนิดหน่อย และด้วยความขี้เกียจหอบของไปมาและน้ำหนักก็ยังไม่เกิน เราเลยหาที่เหมาะๆ เปิดกระเป๋าจัดของใหม่เอาขนมที่พึ่งซื้อมายัดลงไป เสร็จแล้วก็ไปโหลดกระเป๋ากัน เราคุยกับแฟนว่าเข้าไปเลยดีกว่ารีบผ่านต.ม.ไปหาที่นั่งรอดีกว่าเผื่อคนเยอะจะได้ไม่เสี่ยงตกเครื่อง เรารอผ่านจุดตรวจนานมากไม่แน่ใจว่าเกินอะไรขึ้นทำให้เราเสียเวลาอยู่ตรงนั้นครึ่งชั่วโมง ผ่านกระบวนการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเราก็มานั่งรอเรียกขึ้นเครื่องที่หน้าเกท และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องขึ้นเครื่องกลับบ้าน


     การขึ้นเครื่องกลับบ้านทั้งจาก นาริตะ > กัวลาลัมเปอร์ > สุวรรณภูมิ เราแทบไม่ได้นอนเลยถึงแม้ว่าเบาะจะกว้างนั่งสบายกว่าโลคอส (แฟนเราสูงร้อยแปดสิบก็ยังยืดขาได้สบายมาก) เพราะมีเด็กร้องตลอดการเดินทางทั้งสองไฟท์ โชคดีที่มีหนังให้เราดูไปตลอดกว่าจะถึงบ้านดูจบไป 3 เรื่อง อาหารเราไฟท์จากนาริตะเราค่อนข้างชอบอร่อยทุกอย่างเลย ยกเว้นแซนวิซที่ได้รับก่อนลงจากเครื่องแข็งมากเหมือนกินขนมปังหิน


     สำหรับมาเลย์เซียแอร์ไลน์เราว่าบริการค่อนข้างโอเคเลยอาหาร น้ำดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีเดินแจกตลอดคืน แต่ที่ไม่ประทับใจคือบริการภาคพื้นที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ค่ะ เริ่มตั้งแต่เราถามทางทรานซิสพนักงานไม่ยอมพูดอะไรชี้ให้ไปดูบอร์ดอย่างเดียว หน้าเกทแสดงชื่อไฟท์ให้เราเข้าจุดตรวจแค่แปปเดียวค่ะ จนเราเริ่มงงว่าเราตกเครื่องรึป่าวถามอะไรก็ไม่ได้รับคำตอบเท่าไหร่ หน้าเหวี่ยงใส่ตลอด อาจจะเป็นเพราะเราทรานซิสเครื่องครั้งแรกด้วยเลยพออะไรที่มันไม่ชัดเจนไม่ได้คำตอบเลยยิ่งกังวล แต่สุดท้ายก็ถึงสุวรรณภูมิด้วยดี อ่อเครื่องจากมาเลยเซียมาสุวรรณภูมิดีเลย์ไปอีกหนึ่งชั่วโมงและเจอเด็กทุบเบาะเกือบตลอดการเดินทาง 


    
THANK YOU !!!

สำหรับใครที่เสียสละเวลาอ่านมาจนถึงตอนนี้ขอบคุณมากๆ (*_/\_*)นะคะ

สามารถโหลดตัวอย่างแพลนที่เราทำไว้ให้แฟนอ่านก่อนบิน >> คลิก

สรุประยะทางการเดินของเราทั้งทริป

เท่ากับเดินจากกรุงเทพไปพัทยาได้เลยค่ะ ^__^ แต่ก็ยังอ้วนขึ้นเพราะกินไปเดินไป 555+++

14 พฤษภาคม 2561

Japan In Dream Day 9 วันเดียวเที่ยวสองขั้ว

14 Apr 18

     หลังจากกินอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ววันนี้เราตั้งใจจะไป Meiji Shrine (明治神宮, Meiji Jingū) เราตั้งใจว่าช่วงเช้าไปวัดช่วงบ่ายเอากล้องกลับมาเก็บที่พักและไปเดินหาซื้อของ อาหารเช้าของโรงแรมวันนี้มีนัตโตะให้เราลองกิน เห็นใครๆ บอกว่ามันเป็นอาหารบำรุงสมองชั้นดีเสียอย่างเดียวกลิ่นมันค่อนข้างแย่ แต่เรากลับชอบมากตอนแรกก็ไม่กล้ากินลองหาวิธีกินดูเค้าแนะนำกันว่าให้ใส่โชยุกับมัสตาร์ดใช้ตะเกียบคนจนมียางเหนียวเยอะๆ ช่วยเพิ่มรสชาติได้มากทีเดียว


วิธีเดินทาง: Minami-Asagaya >> Shinjuku-Sanchome >> Meiji-Jingumae


     หลังจากแวะซื้อสตาร์บัคเราเดินออกจากสถานีมานิดนึงก็เจอจะกับสะพานหินหน้าวัด ทางเข้าศาลเจ้ามีคนเอาสุนัขมาเดินเล่นเยอะมาก แต่เราสังเกตเห็นว่าหน้าวัดมีป้ายติดห้ามนำอาหาร น้ำ และสัตว์เลี้ยงเข้าไปภายในบริเวณวัดเราเลยยืนกินน้ำให้เรียบร้อยก่อน 

 Yuzu Citrus Tea
     ตรงสะพานหินนี้มีผู้ชายมาทำการแสดงเปิดหมวกอยู่สองคน คนแรกใช้มือบังคับตุ๊กตาให้แสดงตามเพลง อีกคนเล่นเครื่องดนตรีซักอย่างอยู่ ดูเพลินๆ ดูดน้ำจนหมดได้เวลาเดินเข้าวัดได้

     เดินเข้ามาเราก็เจอกับเสาโทริอิต้นใหญ่มากเราสังเกตว่าที่นี่ไม่ได้ทาสีเสาให้เป็นสีแดงแบบศาลเจ้าอื่นๆ ดูแล้วก็สวยคลาสสิคไปอีกแบบ ทางเข้าสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมายดูสงบเงียบต่างจากทางหน้าวัดที่เราเดินผ่านมาเมื่อกี้พอสมควร


     ก่อนถึงทางแยกเข้าไปในวัดเราจะเจอถังสาเกกับถังไวน์เรียงอยู่สองข้างทาง จุดนี้มีคนยืนถ่ายรูปค่อนข้างเยอะแต่ที่เราพบว่าไม่ว่าคนจะยืนถ่ายรูปเยอะแค่ไหน แต่คนที่ทำหน้าที่กวาดใบไม้ก็กวาดต่อไปไม่ได้หยุด ถึงแม้ที่นี่จะมีต้นไม้เยอะใบไม้ร่วงลงมาตลอดเวลาแต่ทำไมถึงยังดูสะอาดไม่รกคงเพราะมีคนคอยดูแลความสะอาดตลอดเวลานี่เอง



     เราเดินเข้ามาจนถึงตัวศาลเจ้าเห็นเค้ากำลังจัดพิธีแต่งงานแบบศาสนาชินโตกันพอดีเป็นอะไรที่โชคดีมากไม่ใช่ว่ามาแล้วจะได้เห็นแบบนี้ทุกวัน ดูเป็นพิธีที่เรียบง่ายแต่งดงามมาก


     หลังจากไหว้ศาลแล้วเราหาทางออกเพื่อไป Takeshita Street (หันหน้าเข้าหาศาลเจ้า) ทางขวาจะมีจะเป็นทางออกที่คนส่วนใหญ่เลือกเดินเพราะมีร้านขายเครื่องรางและของที่ระลึกตั้งอยู่ เราคิดว่าคนเยอะไม่อยากเบียดกับใครเลยเดินออกทางซ้ายมือสิ่งแรกที่เจอคือห้องน้ำ ก่อนเข้าเราทำใจแล้วว่าอาจจะเป็นห้องน้ำแบบส้วมซึมธรรมดาแต่ผิดคาดค่ะห้องน้ำที่สะอาดมากและไฮเทคมากเพราะใช้มือปัดเซ็นเซอร์ในการกดน้ำไม่ต้องสัมผัส


     เดินต่อไปตามป้ายที่เขียนว่า Harajuku ไปเรื่อยๆ ซักพักแฟนเราเริ่มรู้สึกว่าทางนี้ไม่มีคนเดินตามมาเลยดูเป็นเส้นทางเปลี่ยวๆ เลยจะชวนเราเดินย้อนกลับ โชคดีที่มีลุงกับป้าเดินสวนมาพอให้ใจชื้นขึ้นหน่อยว่าเราไม่ได้หลงทาง ในเมื่อเราถือคติธรรมดาโลกไม่จำก็ต้องทำใจเลือกเดินทางที่คนปกติเค้าไม่เดินกัน ดีที่ยังเป็นช่วงสายถ้าเป็นช่วงเย็นๆ ค่ำๆ อาจจะมีคิดบ้างว่าคนจริงรึเปล่า


     เดินชมนกชมไม้มาเรื่อยๆ ในที่สุดออกมาโผล่ออกมาทางหน้าวัดกลับเข้าเส้นทางหลักค่ะ เดินออกมาถึงสะพานหินแล้วข้ามไปอีกฝั่ง เลี้ยวซ้ายไปตามทางเรื่อยๆ ก็ถึง Takeshita Street ตรงนี้อย่าได้ถามหาความเงียบสงบแบบเมื่อกี้ไม่หน้าเชื่อว่าห่างกันเพียงแค่ข้ามถนน


     มองเข้าไปเห็นสภาพผู้คนแล้วเราคิดว่าตัวเราคงอยู่ที่นี่ไม่ได้นานนัก เป้าหมาของเราในการมาที่นี่คือ "Marion Crapes" ร้านเครปที่ชื่อดังที่เปิดมานานของฮาราจุกุ ฝ่าผู้คนเข้าไปจนเกือบสุดถนนมองดูแถวก็ไม่ได้ยาวมากนัก แต่ถัดจากร้านไปมีคนยืนกินเครปเพียบคาดว่าจะมาตามรีวิวเหมือนกัน ส่วนตัวเรามีความเฉยๆ กับรสชาติของเครปร้านนี้มาก แป้งนิ่มคล้ายๆ เครปเย็นที่ขายในบ้านเรา ตัววิปครีมมีความมันรสชาติไม่หวาน หน้าที่เราเลือกมาเป็นเบอร์รี่ จะว่าเป็นเครปเย็นตัวแป้งตัวไส้ก็ไม่เย็นจะว่าเป็นเครปร้อนตัวแป้งก็ไม่ร้อน โดยส่วนตัวเราคิดว่าถ้าคนที่ไม่ได้ชอบไม่กินก็ได้


    แวะดูของตามทางเข้าร้านนั้นออกร้านนี้รู้สึกว่าฝนเริ่มจะปรอยๆ เราเลยคุยกับแฟนว่าเอากล้องไปเก็บกันดีกว่าแล้วค่อยออกมาซื้อของกันอีกที หลังจากเก็บของเรียบร้อยเราตัดสินใจจะแวะไป Kichijoji หาซื้อของกันนิดหน่อย

    เดินข้ามถนนจากที่พักของเราเพื่อไปสถานี JR Asagya ประมาณ 900 เมตร เราเริ่มได้กลิ่นอาหารความหิวก็มา มองขวามือไปเห็นทางเข้าคล้ายๆ ตลาดเลยแวะเข้าไปดู เราลืมไปเลยว่าแถวที่พักมีตลาดอยู่ด้วย ที่นี่ผลไม้ ขนม อาหารปรุงสำเร็จราคาค่อนข้างถูก ได้บรรยากาศแบบโลคอลมากๆ เราสองคนตัดสินใจว่าจะลองกินอุด้งร้านนึงดูลักษณะเป็นร้านแฟรนไชส์ หลังจากยืนสังเกตวิธีสั่งอาหารอยู่หน้าร้านซักพักแล้ว เราสองคนก็เดินเข้ามาหยิบถาดตรงเค้าเตอร์ ยื่นรูปเมนูที่ถ่ายไว้หน้าร้านให้พนักงานดู จากนั้นก็เลือกเทมปุระที่จะอยากจะกินใส่จาน จากนั้นรับอุด้งที่สั่งไว้และเดินไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์เราก็เริ่มมองหาที่นั่งกินได้เลย เราสั่งเมนูที่คล้ายๆ สลัดน้ำมันงาใส่เส้นอุด้งลงไปด้วย รสชาติดีมากกินแล้วสดชื่น



วิธีเดินทาง: JR Asagaya > JR Kichijoji


     เราจำไม่ได้ว่าออกทางออกไหนเราแวะไปโยโดบาชิกับดองกี้เสร็จก็ใกล้มืดแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ของที่ต้องการ เราแยกกันกับแฟนที่ร้านดองกี้ความซวยมาเยือนเพราะเน็ตเริ่มช้าสัญญาน GPS เริ่มไม่คงที่เราเดินวนไปวนมานานมากกว่าจะเจอแฟนเรา สรุปตอนแรกตั้งใจจะหาของกินแถวนี้ก็อดไปเพราะของที่จะซื้อแถวนี้ไม่มี แฟนเราเลยขอกลับไปที่ชินจูกุอีกครั้งเพราะคิดว่าที่นั่นคงจะมี


วิธีเดินทาง: Kichijoji >> Shinjuku
   

     ออกจากสถานีชินจูกุเราก็ต้องรีบทำเวลาเพราะตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว ดีที่ฝนหยุดตกแล้วเราสองคนเลยไม่ต้องเดินตากฝน อากาศเย็น เจ็บเท้า หิวข้าว แต่เราก็ยังต้องทนเดินหาของต่อไป กว่าจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการก็สามทุ่มกว่าแล้ว ร้านข้าวที่เราตั้งใจจะไปกินปิดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยความที่ยังไม่หมดหวังลองหาในกูเกิ้ลดูว่ามามีสาขาใกล้ๆ แถวที่เราอยู่อีกมั้ย

     เทพีแห่งโชคยังอยู่กับเรามีอีกหนึ่งสาขาที่ห้าง Keio Mall ยังไม่ปิดและอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เราอยู่นัก เดินลงไปที่ชั้น B1F มองหาร้านที่มีชื่อว่า "Komeraku" มีคิวอยู่หนึ่งคิวเรากับแฟนก็ไปยืนต่อคิว พนักงานหยิบเมนูภาษาอังกฤษมาให้เราเลือกระหว่างรอ รอไม่ถึง 10 นาทีเราก็ได้เข้ามาในร้านสั่งอาหารไปคนละเมนู ร้านค่อนข้างเล็กนั่งได้ประมาณ 20-30 คนเท่านั้น คนส่วนใหญ่เลยเน้นรีบกินรีบไป ไม่นานอหารของเราก็มา


     ร้านโกะเมราคุจะขายอาหารประเภทโอฉะสึเกะ (Ochazuke) เป็นการเอาข้าวหน้าต่างๆ มากินกับน้ำชา โดยตักข้าวแบ่งใส่ชามเล็ก ใส่เครื่องปรุงต่างๆ เช่น ซอส ขิง ผงปลาตากแห้ง งา สาหร่าย ฯลฯ แล้วเทน้ำชาใส่ค่ะ เราชอบร้านนี้มากทูน่าที่อัดมาเต็มชามสดหวานอร่อยฟินระดับ 10 กันไปเลย กินเข้าไปร่างกายอบอุ่นอารมณ์ดีแล้วก็กลับเข้าที่พักนอนได้ค่ะ


     พรุ่งนี้เราเดินทางกลับด้วยสายการบิน Malaysia Airline ต้องไปต่อเครื่องที่มาเลเซียกลับไทยอีกทีนึง นี่เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางออกนอกประเทศกับสายการบินอื่นที่ไม่ใช่สายการบินหางแดง ปัญหาการเช็คอินออนไลน์ของเราคือเช็คอินล่วงหน้าได้แค่ 48 ชั่วโมงเท่านั้น เราหาข้อมูลไม่ได้ว่าต้องปริ้นบอร์ดดิ้งพาสเพื่อใช้ที่สนามบินหรือใช้เป็น E-ticket ได้เลย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเราเลยลองทำเช็คอินผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นดูปรากฏว่ามีเมล์ส่งบอร์ดิ้งพาสมาให้และระบุให้ปริ้นไปด้วย ยังดีที่ก่อนหน้าเราเดินทางได้เข้าไปดูคลิปการใช้งานเครื่องปริ้นในร้านสะดวกซื้อที่ญี่ปุ่นมาแล้ว

วิธีใช้เครื่องปริ้นจาก Youtube Channel : Nui Ka Ton


     ตอนแรกเราตั้งใจว่าเดี๋ยวใช้แฟลชไดร์ฟ OTG ก็อปบอร์ดดิ้งพาสออกจาก Samsung Galaxy Note 8 มาปริ้น ปรากฏว่าเราเสียบแฟลชไดร์ฟกับหัวแปลงเป็น USB Type C แล้ว Note 8 หาไม่เจอ (อยู่บ้านเคยสนใจจะลองมาตอนนี้เนี่ยนะ มิควร) เราเลยลองปริ้นผ่านบลูทูธแต่มันต้องโหลดแอพพลิเคชั่นตามวิธีที่เครื่องแจ้งอยู่บนหน้าจอ แอพของเครื่องปริ้นน่าจะซัพพอร์ตแค่ไอดีที่ลงทะเบียนในญี่ปุ่นเท่านั้น ทำให้เราไม่สามารถโหลดได้ ยืนคิดหาทางออกอยู่นานสุดท้ายเรานึกได้ว่ามือถือเราถอดเมมได้ค่ะ ถอดเมมออกมาเสียบช่อง Micro SD เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ หยอดเหรียญ เลือกเอกสารที่จะปริ้น เลือกขนาดกระดาษปริ้นเป็นขาวดำ พอเห็นเอกสารออกมาจากเครื่องได้นี่โล่งเลยค่ะ ค่าเสียหาย 10 เยนสำหรับปริ้น A4 ขาวดำ     

Japan In Dream Day 8 โตเกียว เที่ยวตามรอย

13 Apr 18

          เริ่มต้นเช้าวันนี้ด้วยกันลงไปกินข้าวโรงแรมเพราะเงินสดเราเหลือน้อยเต็มทีแล้ว เพราะช่วงวันแรกๆ เรารื่นเริงกับของกินทุกอย่างที่เดินมากจนเกินไปวันหลังๆ เลยต้องจัดระเบียบตัวเองใหม่ ห้องอาหารของโรงแรมอาหารเช้าของ Hotel Route Inn Tokyo Asagaya จะเปิดเวลา 7.00 - 10.00 น. จะมีพนักงานคอยเติมอาหารเรื่อยๆ แต่วันนี้เราตื่นกันค่อนข้างสายอาหารบางอย่างเลยเหลือน้อยแล้ว เราว่ารสชาติและหน้าตาดีเลยทีเดียวประหยัดเงินไปหนึ่งมื้อ


     อันที่จริงตามแพลนที่เราวางไว้วันนี้เราจะพักเหนื่อยตื่นสายๆ ไปเดินหาซื้อของเบาๆ แต่เราเช็คสภาพอากาศแล้วมีแค่วันนี้วันเดียวที่ฝนจะไม่ตกวันที่เหลืออาจจะเกิดฝน เราเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ Sensoji Temple หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่าวัดอาซากุซะ หรือวัดโคมแดงยักษ์

วิธีเดินทาง: Minami-Asagaya >> Asakusa-mitsuke >> Asakusa / Exit 1



     เดินจากทางออก 1 เดินตรงไปอีกนิดเดียวก็เจอทางเข้าวัดเรามาสายขนาดนี้แน่นอนว่าคนต้องเยอะมากอยู่แล้ว ก็ได้แต่ทำใจตกลงกันว่าคงไม่เดินเข้าไปไหว้ในตัวศาลเจ้าไหว้แค่ไกลๆ ก็พอ (อิ่มเอมวัดมาจากเกียวโตแล้ว)


     เป้าหมายหลักของเรามาเพื่อกินซาลาเปาทอดค่ะ เดินตรงไปซื้อของกินที่หมายตาไว้เรียบร้อยแล้วก็หาที่ยืนหลบมุมกินกัน ของเราเป็นไส้ซากุระของแฟนเป็นไส้ชาเขียว เราชอบไส้ซากุระมากกว่าค่ะไม่ค่อยเลี่ยนเท่าไหร่ หวานกำลังดี


     ระหว่างเดินกลับเราก็แวะเข้าไปเดินดูร้านขายของละรึกตามสองข้างทางเข้าวัด หลังจากซื้อของเสร็จเราหลบมุมหาที่เอาของยัดลงเป้



เราคุยกันว่าเริ่มหิวแล้วหาอะไรกินกันดี เรานึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มายังไม่ได้กินราเมงเลย เอาเป็นว่าถ้าเจอราเมงร้านไหนก็เข้าร้านนั้นดูเผื่อเจอช้างเผือก เดินต่อไปไม่ถึง10 วินาทีเราเจอร้านราเมงเล็กๆ อยู่ในซอยทางซ้ายมือ


     เราสองคนเดินไปดูเมนูและส่องดูในร้านปรากฏว่ามีคนนั่งกินกันอยู่ไม่เยอะเลยตัดสินใจเปิดประตูเข้าหาที่นั่งกัน แต่ร้านนี้เป็นเราต้องกดบัตรจากตู้เพื่อไปยื่นให้พนักงานเป็นการสั่งอาหาร ความยุ่งยากก็มาเยือนเพราะเมนูที่เราเลือกมามีแต่รูปกับภาษาญี่ปุ่น ยังดีที่พนักงานสังเกตเห็นว่าเราเงอะงะกันอยู่หน้าตู้เค้าเลยเข้ามาช่วยกดให้

     พนักงานพาเราเข้าไปนั่งโต๊ะด้านในร้าน ร้านนี้ชื่อว่า "Ramen Yukikage" แถมเราโชคดีที่ร้านนี้เป็นร้านที่ค่อนข้างดังในกลุ่มคนท้องถิ่นเพราะคะแนน Tabelog 3.53 ดาวเลยทีเดียว ร้านนี้จะเป็นราเมงจะใช้น้ำซุปไก่เป็นหลักค่ะ เราสั่งเซ็ต A ราเมนซุปไก่ที่เป็นเมนูเรคคอมเมนของร้านและเซ็ต G เป็นทสึเคเมน

Set A เมนู Recommend!! ของทางร้าน

Set G Tsukemen
     เพิ่มพลังกันเรียบร้อยแล้วเราก็เดินไปริมแม่น้ำสุมิดะเพื่อถ่ายรูปกับ "Tokyo Sky Tree และ ตึก Asahi" ไม่ต้องกลัวว่าจะหลังทางหาไม่เจอค่ะ ขอแค่เดินออกมาหน้าวัดมองหาโตเกียวสกายทรีแล้วเดินตามไปนิดเดียวก็ถึงค่ะ แถวนี้มีนักท่องเที่ยวนิยมใส่กิโมโน
   

     เราตั้งใจมาตามรอย Keita แถวนี้ค่ะ แต่ด้วยความรีบทำให้เราถ่ายรูปมาผิดจุดเสียใจมา (T^T) จริงๆต้องเดินลัดริมแม่น้ำสุมิดะไปทางวัดเซ็นโซจิอีกนิดนึงจะได้มุมเดียวกันพอดี (เสียดายรู้ตัวตอนกลับมาถึงไทยแล้วไม่งั้นมีไปซ้ำ) เอาไว้โอกาสหน้าค่อยแก้ตัวใหม่นะเคจัง (T^T)



     เราเดินทางต่อไปกันที่ย่าน Ueno เพื่อไปเดินเล่นที่ "ตลาด Ameyoko" กัน เราตั้งใจจะไปดูรองเท้าที่ร้าน "Tokyo Kutsu Ryutsu Center" และหาอะไรกินที่ตลาดนิดหน่อย เรากับแฟนเป็นคนที่ไปไหนก็ตามชอบไปเดินตามตลาดท้องถิ่น เราอยากรู้ว่าคนท้องถิ่นเค้านิยมกินอะไรกัน อะไรที่เป็นอาหารท้องถิ่นจริงๆ


วิธีเดินทาง: Asakusa >> Ueno / Exit 5B 



     พอออกจากสถานีเราก็เปิด GPS เดินตามไปเลยค่ะ ระหว่างทางเราแวะร้านของเล่นและร้านรองเท้าไปเรื่อยๆ ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้างตามแต่ถูกใจ เราเดินมาถึงปากทางเข้าตลาดพบว่าคนเยอะมาก เดินเบียดเสียดกันไปมาเราก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดเลยปลอบใจตัวเองเบาๆ ด้วยสตอเบอร์รี่หนึ่งไม้


     รู้สึกดีขึ้นเราก็เดินไปที่ร้านรองเท้าแต่น่าเสียดายเรายังไม่เจอคู่ที่ถูกใจ แต่เดินไปอีกนิดก็สุดทางแล้วรู้สึกเคว้งคว้าง ของกินมีแค่นี้เองเหรอหรือเราพลาดซอกซอยไหนไป เราลืมว่าใกล้ๆ ตลาดมีร้านขนมหมื่นอย่าง "Niki no Kashi" เราลืมว่าตรงนี้มี "ตึกม่วง Takeya" เราลืมทุกสิ่งมุ่งหาแต่ของกินอย่างเดียว พอไม่เจออะไรที่อยากกินเราก็บอกแฟนว่าอยู่โตเกียวแล้วเราต้องชิลล์ไม่ต้องรีบร้อนกลับไปนอนก่อนค่อยออกใหม่


วิธีเดินทาง: Ueno >> Akasaka-mitsuke >> Minami-Asagaya

     กลับมาถึงที่พักเราก็คุยกันว่านอนซักงีบดีกว่าฟ้าใกล้มืดแล้วค่อยออกไปลุยต่อกัน เราตั้งใจว่าไปถ่ายรูป Tokyo Tower กับไปเดินเล่นที่ Shibuya กัน เราไปถ่ายรูปกับโตเกียวสกายทรีมาแล้วแต่จะไม่ไปถ่ายรูปคู่กับโตเกียวทาวน์เวอร์คงเหมือนคนได้ใหม่ลืมเก่าไปหน่อย แถมเรายังต้องไปตามรอย Keita ด้วย

วิธีเดินทาง: Minami-Asagaya >> Nakano-sakaue >> Akabanebashi / Exit Akabanebashi Gate


     พ้นจากทางออก Akabanebashi Gate เราก็จะเจอกับโตเกียวทาวน์เวอร์ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางตึกสูง เราเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเดินตามโตเกียวทาวเวอร์ไป ก่อนถึงทางขึ้นโตเกียวทาวน์เวอร์จะเจอกับ "Bijin-BLDG. Office & Cafe" เราเป็นป้ายโฆษณา Volkswagen ที่อยู่บนตึกนี้เด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล เรารีบเข้าไปจัดแจงหามุมทันทีนี่แหละใช่เลย Keita เคยมาถ่ายรูปมุมนี้ลง IG มองซ้ายมองขวาเผื่อจะเจอเคตะเดินเล่นอยู่แถวนี้ (มโนไม่เลิก)


     หลังจากทำภารกิจเรียบร้อยสมใจเราเหลือบไปเห็นรถขายของคันเล็กๆ จอดอยู่ข้างทาง ชี้ชวนกันไปดูเห็นคุณลุงกำลังขายมันเผาอยู่ มันเผาร้อนๆ ต้องดีกับร่างกายแน่ๆ เราเลือกชิ้นละ 500 เยน มาหนึ่งชิ้น แบ่งกันกิน เรานั่งกินมันเผาอยู่นี้เป็นทางขึ้นไปโตเกียวทาวน์เวอร์


     นั่งคุยกันว่าจะขึ้นไปดีรึป่าวจุดถ่ายรูปมันอยู่ตรงไหน แฟนเราเลยบอกว่าขึ้นไปดูนิดนึงก็ได้ถ้าไม่ใช่เราก็ค่อยเดินหาต่อ เราเดินบันไดขึ้นไปก็เจอกับ  "Shiba Park" จุดนี้มุมดีมากเห็นโตเกียวทาวน์เวอร์แบบเต็มๆ เป็นสวนสาธาราณะเล็กๆ ใจกลางเมือง (ถ้าดึกแล้วไม่แนะนำให้ไปคนเดียวค่อนข้างเงียบและไม่มีคน)


     เก็บภาพตรงนี้ไปแล้วแฟนเราก็อยากได้ภาพโตเกียวกับ "วัด Zojo-ji" ก็ได้ไกลกันมากโอเคไปต่อ เราเดินกลับลงไปทางเดิมจากนั้นข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เดินไปตามทางพอเจอสามแยกให้เลี้ยวซ้ายไป เดินซักพักด้านขวามือของเราจะเห็นรูปปั้นของ "จิโซ โบซัสสุ" (พระโพธิสัตว์ผู้พิทักษ์เด็ก) ประดับตกแต่งด้วยหมวกสีแดงและเครื่องประดับอื่นๆ แตกต่างกันไป ตอนแรกเราไม่ได้เอะใจมาก่อนว่าทำไมเหล่ารูปปั้นจิโซที่นี่ถึงมีการตกแต่งแปลกไปจากที่อื่น รู้แค่ว่าสวยหน้ารักดี มารู้ทีหลังว่ารูปปั้นเหล่านี้เป็นตัวแทนวิญญาณของเด็กที่เสียชีวิตก่อนจะคลอด T^T

ภาพจากเพจ TalonJapan.com
     ที่วัดโซโจถึงจะค่อนข้างมืดเพราะไม่มีแสงไฟแต่ไม่ค่อยน่ากลัวเพราะมีคนเดินผ่านไปมาตลอด แถมยังมีคนมาถ่ายภาพวัดโซโจกับโตเกียวทาวน์เวอร์อีกเพียบ เราถ่ายรูปกันซักพักก็เดินออกมาทางประตูหน้าเพื่อเดินเป็นวงกลมกลับไปที่สถานี Akabanebashi 


     ตอนออกมาเราได้เจอ "Real Life SuperHero Go-Karting" กำลังผ่านหน้าไปถ่ายวีดีโอไว้ได้นิดเดียวเสียดายที่เราขับรถไม่เป็นไม่งั้นต้องได้เสียเงินลองแต่งตัวเป็นตุ๊กตาขับรถรอบเมืองแน่นอน

     เดินจากหน้าวัดโซโจผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ ตรงนี้เห็นวิวโตเกียวทาวน์เวอร์ชัดมากแวะถ่ายรูปกันอีกนิด เดินตามทางเลี้ยวขวาผ่านตลอดไปเรื่อยๆ ซ้ายมือจะเจอกับสนามเบสบอลเราหยุดยืนดูกับแฟนแปปนึงสงสัยกันว่ากติกาการเล่นเป็นยังไง พอถึงแยกไฟแพงเราก็จะเจอกับสถานี Akabanebashi อยู่ตรงข้ามพุ่งไปเลยจ้าไปต่อกันที่ชิบูย่า


วิธีเดินทาง: Akabanebashi >> Aoyama-Itchome >> Shibuya / Hachiko Exit



     เราเดินตั้งใจจะมาแวะทักทายน้องหมาฮาจิโกะกันค่ะแต่เราดันเดินมั่วๆ มาโผล่ตรงทางเชื่อมสถานีกับตึกชิบูย่ามาร์คซิตี้ ตรงนี้สามารถถ่ายวิวห้าแยกวุ่นวายได้ค่ะ แต่มีกระจกกันและมีลวดตาข่ายอันนี้ต้องถ่ายหลบๆ กันเองตอนเราไปถึงพอมีคนถ่ายรูปอยู่บ้างแต่ไม่มากค่ะ

     หาทางออกมาได้เราก็เจอน้องหมาฮาจิโกะอยู่ด้านขวามือ ตรงนี้มีคุณลุงใจดีคอยบริการถ่ายรูปให้กับนักท่องเที่ยวด้วยนะคะ ส่วนเราได้รูปมาสมใจแล้วก็ลองเดินข้ามห้าแยกชิบูย่าดูค่ะ ส่วนตัวเราก็ว่ามันไม่ได้แปลกอะไรออกจะวุ่นวายมากมาย



     มุ่งตรงไปที่สตาร์บัคกันเลยเราสั่งน้ำมาแค่แก้วเดียวเพราะกะว่าจะอยู่ไม่นาน เรารอรับน้ำอยู่ข้างล่างให้แฟนขึ้นไปหาที่นั่งบนชั้นสอง เราถ่ายรูปกันนิดหน่อยก็ออกมาความรู้สึกเราว่ามันก็ไม่ได้พิเศษอะไรวิวมันโดนบังด้วยเสาไฟอะไรต่ออะไรมามาย ครั้งหน้าอาจจะต้องขึ้นไปชั้นที่สูงกว่านี้

     มองดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วคิดว่าเราต้องกลับที่พักแล้วไม่งั้นอาจจะตกรถไฟได้ เราคุยกับแฟนว่าวันนี้หาซื้อของที่ร้าน Recods มินิมาร์ทข้างที่พักกินแล้วกัน โชคดีที่เราตัดสินใจได้ถูกเราค้นพบกว่าข้าวหน้าเนื้อที่นี่อร่อยมาก (หรือหิวมากไป) โซบะเย็นก็รสชาติดีมากเช่นกันแถมราคาแค่ 650 เยนเท่านั้นเราลืมถ่ายรูปไว้มาถึงแกะกินเลยรู้ตัวอีกทีหมดกล่องแล้ว 5555+++  กินข้าวอิ่มแล้วก็ได้เวลานอนพักผ่อนจบกันไปอีกหนึ่งวัน