02 พฤษภาคม 2561

Japan In Dream Day 5 ร่างเริงไปกับ Universal Studio Japan

10 Apr 18

     หลังจากที่เราลุ้นกันอยู่นานว่าวันนี้ฝนจะตกรึเปล่า การเที่ยว Universal จะเป็นไปตามที่เราคิดไว้มั้ย ก่อนเดินทางเรา เช็คสภาพอากาศและพยากรณ์จำนวนคน ที่จะมา Universal ช่วงที่เราจะไปเป็นช่วงที่ฝนตกบ่อยสภาพอากาค่อนข้างแปรปรวน ทำให้จำนวนคนที่มาเที่ยว Universal ค่อนข้างน้อย แต่ก่อนจะออกเดินทางไปไหนเราควรช่วงชิงความได้เปรียบไปถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะก่อน


     เราไม่ได้ซื้อบัตร Express เพราะคิดว่าเล่นได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น เน้นไปที่ "โซนแฮร์รี่ พอตเตอร์" กับ ไปชื่นชม "รอยมือ Keita (W-inds.)" ที่โซนฮอลิวู้ด ดีกว่าจะได้เดินถ่ายรูปเล่นชิลล์ๆ ได้ดูโชว์เล็กๆ น้อยๆ ก็คุ้มค่าบัตรแล้ว และอาจจะเป็นโชคดีของเราที่วันนี้พยากรณ์จำนวนคนเข้า Universal ไม่เกิน 20,000 คน ถือว่าค่อนข้างน้อยทีเดียว

วิธีเดินทาง: Namba 》 Sakuragawa 》 Nishikujo 》 Universal City


     เมื่อมาถึง Universal เราก็หาที่ยืนกินข้าวปั้นที่ซื้อมาก่อน วันนี้เช็คมาแล้วว่าสวนสนุกเปิดเวลา 9.00 - 19.30 น. เรายังพอมีเวลาอีกนิดหน่อย สำหรับใครที่ไม่ได้ซื้อของกินอะไรมาแต่หิว ด้านหน้า Universal มี Lawson อยู่ หรือจะซื้อตุนเก็บไว้กินตอนเที่ยงก็ได้ เพราะอาหารข้างในราคาค่อนข้างแพง พอใกล้เวลา

  
     พอเรากินกันเสร็จเราก็พบปัญหาอย่างนึงว่ามันไม่มีที่สูบบุหรี่ แถวนั้นติดป้ายห้ามสูบบุหรี่เต็มไปหมด แฟนเเราเป็นคนติดบุหรี่พอเจอแบบนี้ก็ไม่อยากเข้าไปข้างในแล้ว แต่สุดท้ายเราก็งอแงเข้าไปจนได้และเราก็ได้พบว่า ด้านใน Universal Studio Japan จัดที่สูบบุหรี่ไว้ให้ในโซน Jurassic Park ให้เข้าทางฝั่ง Water World จะหลบมุมอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึง Jurassic Park - The ride จุดสูบบุหรี่มีในแผนที่ Universal หยิบ แผนที่ ตรงทางเข้าแล้วเดินตามไปได้เลย


     หลังจากเคลียร์เรื่องที่สูบบุหรี่ได้แล้วเราก็มาต่อคิวเข้า Universal กัน เราลืมเอาตั๋วออนไลน์ที่ปริ้นใส่กระดาษมาด้วย เราลองใช้ QR Code จากในมือถือแสกนเข้าสวนสนุก ครั้งหน้าไม่ต้องปริ้นเราว่าใช้วิธีก็นี้สะดวกดี


     เข้ามาได้เราก็มุ่งหน้าไป The Wizarding World of Harry Potter Zone ทันทีที่ก้าวเข้าสู่โซนแฮร์รี่ดนตรีประกอบในหนังบิลท์อารมณ์พวกเราก็มาก่อนเลย เดินตามแนวต้นสนมาเรื่อยๆ เราก็เจอกับรถ Ford Anglia ของ อาร์เธอร์ วีสลีย์ พ่อของรอนจอดพังอยู่ข้างทาง


     เดินเข้าไปอีกนิดจะเจอกับประตูทางเข้าหมู่บ้าน Hogsmeade ที่ติดมีป้ายหมูป่าไว้เหนือซุ้มประตู เดินต่อไปอีกเราก็จะเจอร้านไม้กวาดสามอัน ร้านหัวหมู รถไฟด่วนฮอกวอตส์ ร้านซองโก้ ร้านฮันนี่ดุกส์ ร้านไม้กายสิทธิ์โอลิแวนเดอร์ ไปรษณีย์นกฮูก ฯลฯ เรียกได้ว่ายกฉากในหนังกันมาเลยทีเดียว ยังไม่ทันที่จะเข้าถึงตัวปราสาทเราก็จิตหลุดไปแล้ว ของเล่นไม่อยากจะเล่นแล้วอยากเดินดูให้ทั่ว


     พอเดินมาถึงหน้าปราสาทเรารู้สึกว่ามันอลังการจริงๆ หมูป่ามีปีกประดับอยู่บนเสาประตูทางเข้า ตาเหลือบไปเห็นคิว Harry Potter and The Forbidden Journey ต้องใช้เวลารอ 60 นาทีแล้ว เรากับแฟนเลยรีบชวนกันไปต่อคิว ระหว่างต่อคิวเราไม่ได้รู้สึกว่าหงุดหงิดเลย เพราะตามทางเดินก็มีอะไรให้เราดูไปตลอดทาง เดินไปเรื่อยๆ เราก็จะเข้าสู่เรือนกระจกของศาสตราจารย์สเปราท์ เราต่อคิวกันเพลินๆ ซักพักเข้ามาอยู่ในปราสาทแล้ว


     เข้ามาในปราสาทพนักงานจะให้เราเอาสัมภาระทุกอย่างไปเก็บ จุดนี้เราพลาดมากเพราะเก็บกล้องและมือถือไปหมดเลยทำให้ไม่ได้ถ่ายรูปมา แอบเห็นบางคนเอามือถือเข้ามาด้วย แต่เราว่าเก็บในล็อคเกอร์ดีแล้วถ้าตกระหว่างที่เล่นอยู่คงลำบากแน่ ล็อคเกอร์ที่โซนแฮร์รี่สามารถใส่เป้ได้ค่ะ แต่ถ้าใครที่แบกกระเป๋ากล้องแบบของแฟนเราไปแล้วไม่สามารถยัดเข้าไปได้ ให้แจ้งกับพนักงานที่อยู่แถวนั้นได้เลยค่ะ เค้าจะอนุญาตให้เราเอากระเป๋าเข้าไปด้วย พอใกล้จะถึงเตรื่องเล่นจะมีพนักงานมาเรียกให้เราหยุดเพื่อให้เอากระเป๋าเก็บก่อนที่จะขึ้นเครื่องเล่น


     ระหว่างทางเดินไปยังเครื่องเล่นก็ยังคงไม่หลุดธีม เราจะเจอกับรูปต่างๆ ที่ติดอยู่ตามบันไดปราสาท ถัดมาจะเป็นทางเข้าหอคอยกริฟฟินดอร์ที่มีรูปสุภาพสตรีอ้วนแปะอยู่ เดินไปอีกนิดก็เป็นห้องทำงานของดัมเบิลดอร์ สุดท้ายจะเป็นห้องโถงที่มีรอน แฮร์รี่ และเฮอร์ไมโอนี่ ยืนโบกมือทักทายอยู่ด้านบน

     อิ่มเอมกับบรรยากาศในก่อนหน้านี้มาเต็มที่แล้ว ในที่สุดก็ได้เวลาเล่น  The Forbidden Journey ซะที พนักงานจะแจกแว่น 3D ให้เรา จากนั้นให้เดินไปขึ้นเครื่องเล่นที่อยู่บนรางเลื่อน ตรงนี้ให้เดินระวังๆ เพราะรางมันเลื่อนตลอดเวลา หลังจากพนักงานตรวจความเรียบร้อยแล้วเราก็ปล่อยพวกเราออกไปพจญภัยกัน แฮร์รี่ มังกร รอน บินไปบินมา ละอองน้ำ ลม ควัน ครบสมกับการเป็น 4D เราว่าเป็นเครื่องเล่นที่สนุกที่สุดของ USJ เลยทีเดียว

     เดินออกมาอีกนิดเราก็ไปต่อคิว Flight of the Hippogriff พี่ที่สนิทกับเราบอกก่อนมาว่าถ้าไม่เข้ามาเล่นอันนี้จะไม่เห็นกระท่อมแฮกริดนะ โอเคต้องเล่นสินะ ได้!! ต่อคิวไปอีก 45 นาที ตรงนี้ไม่มีอะไรตื่นเต้นมากนัก นอกจากบ้านแฮกริด, รถมอไซค์บินได้, ฟักทองยักษ์ ต่อคิวได้ซักพักเราเริ่มร้อนเพราะวันนี้แดดแรงมากแต่ก็ยังอดทน เราแอบนั่งบนหินข้างทางเป็นพักๆ เพราะเริ่มเจ็บเท้าอีกแล้ว ไม่นานก็ถึงคิวเราแต่โชคไม่ดีแฟนเราสูง ขาติดไม่สามารถล็อคเครื่องได้ เลยต้องกลับไปยืนรอรอบต่อไปเพื่อนั่งเบาะหน้าสุด


     Flight of the Hippogriff เป็นอะไรที่เรารู้สึกว่าฮะ การรอคอย 45 นาทีของฉันได้เล่นถึง 3 วินาทีมั้ย รางมันสั้นมากยังไม่ทันได้รู้สึกอะไรการเล่นก็จบลง โอเคอย่างน้อยก็ได้ถ่ายรูปกับบ้านแฮกริด

     ตอนนี้เวลาเกือบ 11 โมงแล้ว เรากับแฟนชิงความได้เปรียบไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า ตรงดิ่งไปที่ร้านไม้กวาดสามอัน เลือกเมนู  Pork Ribs Platter และ Roast Beef Salad อย่างละ 1 จาน บัตเตอร์เบียร์ 1 แก้ว (แบบเอาแก้วกลับบ้าน) และน้ำเปล่า 1 ขวด รสชาติอาหารค่อนข้างดีแต่เราว่าราคาออกจะแพงไปหน่อย บัตเตอร์เบียร์เป็นอะไรที่เราว่ามันๆ หวานๆ เลี่ยนๆ สุดท้ายเรายอมเททิ้งแล้วเอาแก้วกลับบ้าน ค่าอาหารมื้อนี้เกือบ 6 พันเยน (ครั้งหน้าเราคงห่อข้าวเข้าไปกิน จริงๆ มีข้าวปั้นแต่ใจอยากลอง 555+++)


     หลังจากช่วงชิงความได้เปรียบเสร็จแล้ว เราออกมาพบว่าคนต่อคิวกินอาหารเริ่มเยอะเหมือนกัน มองซ้ายมองขวาเจอคิวอะไรซักอย่างใช้เวลาแค่ 10 นาที ลองไปดูหน่อยแล้วกัน ปรากฏว่าเป็นคิวของ "Wand Magic" เป็นโชว์สำหรับเลือกไม้กายสิทธิ์ เข้าไปในห้องจะมีผู้ได้รับเลือกหนึ่งคนมาทดลองเลือกไม้ ไม่ถึง 10 นาทีการแสดงก็จบเลย เราก็ดูเป็นเรื่องขำๆ ไป หลังออกมาเราก็แวะซื้อของที่ระลึกนิดหน่อย


     เราเก็บโซนแฮร์รี่อย่างที่ตั้งใจไว้แล้วได้เวลาออกไปเล่นอย่างอื่นบ้าง เราตั้งใจเดินเป็นวงกลมเลยเดินต่อไปที่ Amity Village เครื่องเล่นไฮไลท์ของที่คือ Jaws แต่ต้องรอคิวอีก 60 นาทีเราเลยผ่านไปก่อนยังมีอันอื่นที่เราอยากเล่น

     เดินข้ามโซน Water World ไปเลยเพราะช่วงนี้ปิดปรับปรุง ไปต่อที่โซน Jurassic Park โซนนี้มีเครื่องเล่นฮิตๆ อยู่ 2 อย่างคือ The Flying Dinosaur กับ Jurasic Park - The Ride เราไม่กล้าเล่น Flying อันนี้คล้ายๆ ที่สิงคโปร์แต่รางยาวกว่า ตีเกลียวเยอะกว่าคิดว่าคงไม่รอดถ้าไปเล่น เราก็ให้แฟนไปต่อคิวเล่นคนเดียว ส่วนเราหาที่นั่งรออยู่แถวๆ เก้าอี้หน้าห้องน้ำ แล้วค่อยไปเล่น The Ride พร้อมกัน ซักพักแฟนเราเดินตัวเปียกกลับมาบอกว่าเข้าแถวผิดไปเล่น The Ride มา แต่เดี๋ยวขอไปต่อคิวเล่น Flying ก่อนแล้วจะพาเราไปเล่น The Ride อีกรอบ เราเลยบอกว่าไม่เป็นไรเราไม่เล่นแล้วก็ได้ไม่อยากเปียก ขี้เกียจใส่เสื้อกันฝนด้วย (คือเตรียมไปกะจะเล่น)  แฟนเราหายไปกับ Flying ประมาณ 40 นาทีก็กลับมาร่าเริงมาแต่ไกล บอกว่าอยากเล่นอีก (มองบน ตอนแรกไม่อยากเข้า) แต่เดี๋ยวพาเราไปเล่นอย่างอื่นก่อนถ้าทันค่อยกลับมาใหม่


     เดินต่อไปที่โซน Sanfrancisco โซนมีโชว์ Backdraft เป็นไฮไลท์ของโซนนี้ เวลารอแค่ 20 นาทีรอหน่อยก็ได้ ต่อคิวซักพักแฟนเราถามว่าเครื่องเล่นนี้คืออะไร เราเลยอธิบายไปว่ามันเป็นการแสดงโชว์เทคนิคเกี่ยวกับไฟในการถ่ายทำหนัง สุดท้ายดูเวลาแล้วประมาณบ่ายสองยังเหลือเครื่องเล่นอีก 2 อย่างที่อยากจะเล่นเลยบอกพนักงานว่าเราจะออกไม่รอดูแล้ว

     ถัดมาเป็นโซน Minion Park ไฮไลท์ของที่นี่คือ Despicable Me Minion Mayhem ตรงนี้ใช้เวลารอเล่น 55 นาที แต่เราไม่อินกับมินเนี่ยนเลยผ่านไปอีกเช่นเคย

     ข้ามไปที่โซน  New York เลยดีกว่าโซนนี้มีไฮไลท์อยู่สองอย่าง The Amazing Adventures of Spider-Man - The Ride 4K3D และ Terminator 2 : 3D ช่วงที่เราไป Terminator ปิดปรับปรุงเลยไม่ต้องคิดอะไรให้มาก เดินตรงดิ่งไปที่สไปเดอร์ทันที รอคิว 20 นาทีก็ได้เล่นแล้ว ตอนแรกเราเข้าใจว่าฉากจะเป็นสไปเดอร์แมนที่เป็นหนัง แต่จริงๆ แล้วเป็นสไปเดอร์แมนที่เป็นแอนนิเมชั่น ฉากที่ทำออกมาเรารู้สึกเฉยๆ ถ้าเทียบกับแฮร์รี่ (แต่ถ้าวัดจาก USJ และ USS พวกประเภทที่เป็น 4D ที่เราชอบที่สุดยังคงเป็น Transformer ค่ะ)

     ไปต่อกันที่โซน Hollywood ไฮไลท์ของโซนนี้คือ Hollywood Dream The Ride และ Hollywood Dream The Ride Backdrop เป็นโรลเลอร์โคสเตอร์แบบวิ่งปกติกับแบบวิ่งหลังค่ะ แต่สำหรับเราไฮไลท์ของเราอยู่ที่ Hollywood Hall of Frame ตรงนั้นมีรอยพิมพ์มือของ W-inds. ทั้งวง 


     ถ้ามาจากทาง New York จะถึงก่อนเราเลยแวะถ่ายรูปชื่นชมตามภาษาแฟนคลับ จากนั้นเราก็เดินไปหาที่นั่งรอแถวๆ หน้า Hollywood Dream ส่งกำลังใจให้แฟนไปเล่นคนเดียว (Mission เรา Complete หมดแล้วอยากกลับแล้ว) 

     นั่งรอแฟนอยู่ 50 นาที แฟนเรากลับมาด้วยความสดใสร่าเริงพร้อมบอกเล่นถึงความสนุกของ Hollywood Dream ที่เพิ่งเล่นไป หลังจากได้นั่งพักแล้วเริ่มดีขึ้นแล้วเราก็เริ่มรู้สึกเสียดายทำไมเราไม่เล่นทั้งที่จริงๆ ก็เล่นได้ แต่ขี้เกียจต่อคิวแล้วไว้ครั้งหน้าก็แล้วกัน ยังไงครั้งนี้ก็คุ้มแล้ว

     เราแวะไป Snoopy Land เดินเล่นถ่ายรูปกันแปปนึง แล้วมุ่งหน้าไปยังเครื่องเล่นสุดท้ายที่เราอยากเล่นแต่ข้ามไปนั่นก็คือ Jaws คิวก็ยังคงรอนานเหมือนเดิม เราใช้เวลาเดินวนๆ ต่อคิวประมาณ 50 นาที เราก็ได้ลงเรือพร้อมออกไปผจญภัย  เรามีความคาดหวังเล็กๆ กับ Jaws คิดว่ามันจะตื่นเต้น แต่เอาจริงๆ แล้วมันเหมาะกับเด็กๆ มากกว่า ฉลามโผล่มาเป็นพักๆ พนักงานบนเรือยิ่งต่อสู้กับฉลาม เราก็นั่งดูขำๆ ไป


     เรากลับมาที่โซน Jurassic Park อีกรอบเผื่อแฟนอยากเล่น Flying อีกรอบ แต่เราก็เลือกที่จะไม่เล่นกันแล้วกลับไปรอดูพาเหรดที่ด้านหน้า แวะดูร้านขายของโคนันกับเซเลอร์มูนนิดหน่อย ดูเวลาเข้าเซเลอร์มูนแค่ 30 นาที แต่ตอนนี้เราไม่ไหวแล้วเลยไม่ได้เข้าไป หาที่นั่งรอพาเหรดระหว่างนี้ก็หาข้อมูลไปด้วยว่ามีพาเหรดกี่โมง แต่ในแผนที่ใน USJ ที่เราหยิบที่ทางเข้าไม่ได้มีบอกเหมือน USS

     เราเลยคิดว่าไม่รอดีกว่าเดี๋ยวต้องไปจองตั๋วชินคันเซ็นไป Kawaguchiko ในวันพรุ่งนี้ด้วย 17.00 เราก็ออกจาก Universal ไปสถานี Osaka เราหาทางออกที่จะไปจองตั๋วไม่ได้เลยถามเจ้าหน้าที่ (แนะนำให้ถามเพราะจะช่วยให้เราไม่ต้องเดินหลง) เค้าก็บอกให้เราแตะบัตรออกแล้วเดินไปทางซ้าย ตามป้าย JR ไปก็เจอเคาน์เตอร์ขายตั๋ว ระหว่างเข้าคิวเราก็เตรียมแผนการเดินทางจากเว็บ Hyperdia ไว้ให้เจ้าหน้าที่ดู

     เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์พูดภาษาอังกฤษได้ดีทำให้สื่อสารกันง่ายขึ้น หลังจากเราเอาแผนการเดินทางให้ดูและแจ้งว่าเราต้องการออกเดินทางพรุ่งนี้ เจ้าหน้าที่คีย์อะไรสักพักก็ปริ้นเอกสารมาให้เราดูวิธีการเดินทาง เค้าบอกเราว่าไม่สามารถจองรถไฟจาก Otsuki Station ไป Kawaguchiko Station ให้ได้เพราะเป็นของ Fujikyu Railway คนละบริษัทกัน และแผนการเดินทางที่เราเลือกมามีเวลาต่อรถค่อนข้างน้อยอาจจะเสี่ยงตกรถไฟได้ เราเลยขอให้เค้าช่วยจัดแผนการเดินทางให้ใหม่ได้ออกมาตามนี้


     เราลองคิดหลายวิธีที่จะไป Kawaguchiko แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกชินคันเซ็น เพราะอยากรู้ว่ารถไฟความเร็วสูงมันจะเป็นยังไง ถึง Night Bus ไปคาวากุจิโกะจะถูกกว่ากัน 2 เท่าก็ตามแต่เราก็เลือกวิธีนี้เที่ยวทั้งทีก็ต้องเอาให้สุด ถ้าไม่สุดก็ให้หยุดนอนอยู่บ้าน 55555++++

     ตอนแรกเราตั้งใจจะไป Umeda Sky Building ต่อ แต่แฟนเราเกลี้ยกล่อมให้กลับเพราะคิดว่าเราก็ไม่น่าจะเดินไหวแล้ว เราเลยกลับที่พักแช่เท้าก่อนที่จะออกมาหาอะไรกินอีกครั้ง วันนี้เรามาเดินกันที่ย่าน Dotonburi แวะกิน Takoyaki ที่ร้าน Kukuru ที่มีรูปปั้นหมึกยักษ์อยู่หน้าร้าน โชคดีตอนเราไปถึงคนต่อคิวไม่เยอะมีอยู่ 2-3 คิวก่อนหน้า เราเดินถือทาโกะยากิขึ้นไปนั่งกินที่ชั้น 3 มองวิวแสงสีและแม่น้ำ จากนั้นเราก็คุยกันว่าเรือที่ใช้บัตร Osaka Amazing Pass ขึ้นฟรีเราจะไม่ไปนั่งแล้ว เดินไปหาของกินกันต่อดีกว่า


     เดินวนไปวนมาอยู่สองรอบเราตัดสินใจว่าจะกิน Okonomiyaki สุ่มๆ เลือกมา 1 ร้าน ชื่อว่า Takohachi พนักงานชี้ให้เราเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วพนักงานเดินเอาเมนูภาษาอังกฤษมาให้ เราก็สั่ง Okonomiyaki และ เมนูประจำร้านที่เป็น Yakisoba มาด้วย


     พนักงานแจ้งกับเราว่าต้องรออาหารประมาณ 20 นาที จากนั้นก็นำน้ำมาเสิร์ฟ ระหว่างนี้เราก็สั่งเกตวิธีการกินและวิธีการจ่ายเงิน พบว่าต้องลงไปจ่ายที่ชั้นสอง วิธีกินก็ง่ายๆ เราไม่ได้ทำเองจะมีเชฟทำให้เสร็จเรียบร้อย แค่ยกมาอุ่นที่เตาบนโต๊ะเราเท่านั้น  เราว่าอาหารที่นี่ค่อนข้างโอเคอร่อยกว่าที่ไทยทั้งสองอย่างไม่เลี่ยนและราคาไม่แพง ที่สำคัญคือไม่ต้องต่อคิวนาน อันที่จริงเราว่าร้านไหนก็อร่อยเหมือนกันเพราะมันคือออริจินอล มันคือยานแม่ เหมือนที่กินอาหารไทยมาประเทศได้ก็จะได้รสชาติไทยๆ นั่นแหละ เพราะฉนั้นเข้าร้านไหนก็ได้ สุ่มๆ ไปเราอาจจะเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ยังไม่มีคนรีวิวก็ได้



     กินอิ่มแล้วเราก็กลับโรงแรมเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดกระเป๋าเดินทางเผื่อที่จะเอาลงมาส่งไปโตเกียว นัดแนะกับน้องที่รู้จักกันเอากระเป๋าลงมาส่ง วันนี้ไม่มีพนักงานที่พูดภาษาอังฤกษได้อยู่ช่วงดึกเลย งานเลยเข้าพวกเราอย่างจัง 



     จากที่เราหาข้อมูลการส่งกระเป๋าในส่วนของการกรอกที่อยู่หลายๆ คนกรอกที่อยู่โรงแรม แต่พนักงานในโรงแรมแจ้งเราว่าให้เราเขียนที่อยู่เราตามจริง เถียงกันอยู่พักนึงเราเลยตัดสินใจว่าเราจะกรอกที่อยู่ตามจริง แล้วย้ำกับเค้าว่าเราจะส่งของไปที่ Hotel Route Inn Tokyo Asagaya ที่อยู่ถูกต้องนะ เราคิดง่ายๆ แค่ว่าในเมื่อเราสื่อสารกันไม่เข้าใจ ก็กรอกตามๆ เค้าไปก่อนขอแค่ที่อยู่การจัดส่งถูก ถ้าเราไปถึงที่พักที่โตเกียวแล้วกระเป๋าเดินทางยังไม่มาถึงค่อยให้พนักงานโรงแรมปลายทางจัดการให้ คนที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้คงมีเยอะกว่าที่นี่ เราขอรูปเอกสารที่กรอกไว้จากนั้นก็แยกย้ายกันขึ้นนอน
เราเติมเยลลี่เข้าร่างก่อนนอนทุกวัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น