30 เมษายน 2561

Japan In Dream Day 4 ปราสาทโอซาก้า vs อาหาร

9 Apr 18

     วันนี้เราตื่น 5.30 เพื่อจะไปถ่ายรูปที่วัด Fushimi Inari ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยัง Osaka สาเหตุที่ต้องมาเช้าขนาดนี้เพราะว่าเราไม่อยากมาตอนคนเยอะๆ ถ่ายรูปทีติดคนเต็มไปหมด

วิธีเดินทาง: Shichijo Station >> Fushimi-Inari Station

     หลังจากลงรถไฟมาก็ไม่ต้องวุ่นวายหาทางออกสถานีนี้มีทางออกทางเดียว หลังจากเดินออกมาให้เราเลี้ยวไปทางซ้ายเดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับทางเข้าด้านข้างวัด เดินเล่นด้านหน้าวัดนิดๆ หน่อยๆ แวะไหว้ศาลเจ้าก่อนที่จะเดินไปที่แนวเสาโทริอิที่เรียงรายรอบภูเขากว่าหมื่นต้น


คิดว่าเราจะเดินรอบมั้ย >> ตอบเลยไม่!! บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อินกับวัดเท่าไหร่
เอ๊า!! แล้วมาเกียวโตทำไม >> ก็เค้าบอกว่าซากุระในเกียวโตสวยก็เลยมา วัดเลยแพลนเผื่อเลือก

     เดินเล่นชมเสาโทริอิจนหนำใจแล้ว เราก็กลับมาที่ K's House Kyoto เพื่อ Check Out ลากกระเป๋าออกเดินทางไปต่อกันที่ Osaka


วิธีเดินทาง: เดินจาก K's House Kyoto >> Kyoto Station >> Shin-Osaka


          จาก Shin-Osaka เปลี่ยนไปนั่ง (Osaka Metro) >> Namba Subway
 

     หลังจากเปลี่ยนมานั่ง Osaka Metro เราก็เริ่มใช้ Osaka Amazing Pass ได้เลย มุ่งหน้าไป Namba เต็มกำลังพอมาถึง Namba Station งงค่ะ ทางออกเยอะแยะไปหมด แต่ตามที่เราดูแผนที่มาคร่าวๆ ที่พักเราจะอยู่ใกล้ๆ ทางออกของรถไฟสาย Nankai เดินตามป้ายมาเรื่อยๆ เราบอกแฟนว่าให้ช่วยหาทางออกที่มีลิฟต์หรือบันไดเลื่อน จะได้ลากกระเป๋าได้สะดวก แล้วเดี๋ยวไปเดินข้างบนเอา


   สรุปเราออก Exit 1 ค่ะ พอขึ้นมาข้างบนได้ก็รีบเช็ค GPS ว่าอยู่ตรงไหน แล้วเดินต่อไปยังที่พัก ระหว่างทางเราก็สังเกตุไปด้วยว่าที่พักเราใกล้ทางออก E9 มากที่สุด ครั้งหน้าก็ไม่ต้องเดินสุ่มๆ แล้ว นี่คือข้อดีของการเดินหลงบนดิน 5555++


     พอเราเดินใกล้ถึงโรงแรมแฟนเราถามว่าใช่รึป่าวพร้อมกับชี้ไปที่ APA Hotel Namba-Higashi เราก็ดับฝันแฟนด้วยคำตอบที่โหดร้ายว่า เปล่า!! โรงแรมเราอยู่ข้างๆ ทางเข้าเล็กๆ นั่นไง แฟนเราก็ขำๆ ตอบกลับมาว่าก็ว่าอยู่ทำไมหรูจัง


     ที่พักของเราในโอซาก้าคือ Hotel Nissei OSAKA เราตั้งใจแค่จะเข้ามาฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน แต่ปรากฏว่าห้องถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว (หรือไม่ค่อยมีคนพัก 555++) พนักงานเลยให้เราเข้า Check In ได้เลย ห้องที่เราจองมาเป็นห้องแบบ Twin Bedroom มีอุปกรณ์ทั่วๆ ไปที่ควรมีในโรงแรมค่อนข้างครบ เสียอย่างเดียวคือกลิ่นบุหรี่แรงมาก เราก็จำไม่ได้ว่าจองห้องปลอดบุหรี่ไปรึป่าว จองเพราะถูกสุดเลยไม่ได้ทักท้วงทางโรงแรมขอเปลี่ยนห้อง เปิดหน้าต่างระบายอากาศก็พออยู่ได้ค่ะ แต่ใครที่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่มากๆ ควรหลีกเลี่ยงที่นี่




     วันนี้เราเริ่มรู้สึกเจ็บเท้ามากขึ้นกว่าเดิม สาเหตุมาจากรองเท้าที่เอาไป ซัพพอร์ตเท้าได้ไม่ดีพอ แล้วเราเอารองเท้าไปแค่คู่เดียว ทำไงได้ต้องอดทนแล้วเดินต่อไป (เป็นความคิดที่พลาดมาก มันทำให้การเที่ยววันที่เหลือหมดสนุกไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว)  เก็บของและพักกันนิดหน่อยแล้ว ก็คิดว่าได้เวลาหาอะไรกินแล้ว เลยชวนกันไปหาตลาด Kuromon เดินจากที่พักเราไปไม่ไกลด้วย หิวๆ แบบนี้คงไปไหนไกลๆ ต้องเป็นลมก่อนแน่ๆ


     ตลาด Kuromon เป็นตลาดที่เราค่อนข้างชอบ เราว่าของมันน่ากินกว่าตลาด Nishiki พอสมควร เราเดินไปนิดนึงเจอเราก็เจอกับร้านซูชิ เห็นพนักงานกำลังเก็บจานวางอยู่เต็มไปหมด เราเลยคุยกับแฟนว่ามันน่าจะดีนะ เดินไปดูเมนูก็ดูโอเค เลือกคนละเมนูถ่ายรูปไว้เผื่อไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ เปิดประตูเข้าไปมีนักท่องเที่ยวต่างชาตินั่งอยู่สองคน ทั้งร้านมีที่นั่งประมาณ 8 ที่นั่ง พอเราเข้าไปเชฟก็ยื่นเมนูภาษาอังกฤษให้ เราก็จิ้มไวๆ ไปคนละเมนูตามที่คิดมาหน้าร้านแล้ว เพิ่มซาชิมิแซลม่อนมาอีก 1 จาน พร้อมโคล่าและเบียร์เหมือนเดิม (เป็นเครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้สินะ)




     นั่งดูพ่อครัวปั้นซูชิกันเพลิน ร้านทั้งร้านค่อนข้างเงียบ เราเลยไม่กล้าคุยกันเสียงดังแอบกระซิบกระซาบกันว่ามันจะอร่อยมั้ย จะเป็นไงนะ ซักพักเชฟก็ส่งอาหารที่สั่งทั้งหมดมาให้เรา กินเข้าไปคำแรกอื้ออออ อร่อยแฮะ เราเป็นคนไม่ชอบกินซูชิเท่าไหร่กะว่าถ้ากินไม่ได้จะยกให้แฟนกินไป แต่ร้านนี้โอเคอร่อยใช้ได้ ซาชิมิก็สด กินไป 10 คำ เหมือนจะอิ่มๆ เลยไม่ได้สั่งต่อ ระหว่างรอจ่ายเงินเราก็หาว่าร้านนี้ชื่ออะไร ในร้านไม่มีชื่อภาษาอังกฤษหรือภาษาญี่ปุ่นที่เราพอจะอ่านออกเลย เลยลองเปิด google ให้ดูจิ้มๆ ชื่อร้านซูชิในแผนที่ได้ชื่อมาว่า "ร้าน Yamatoya"



     ออกจากร้านซูชิเหมือนจะอิ่มแต่ก็ไม่อิ่มยังไงก็ไม่รู้ เดินหาของกินไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่าสิ่งที่ Kuromon สู้ Nishiki ไม่ได้คือขนม ขนมญี่ปุ่นที่เกียวโตอร่อยกว่า แต่อาหารเราให้ที่นี่ชนะขาดค่ะ วนๆ ไป เจอร้านเนื้อวากิวย่าง คนรุ่มเต็มไปหมด ร้านนี้ชื่อว่า "Niku Hoshi" เป็นร้านขายเนื้อ Matsuzaka ด้วยความหอมเราสองคนทนต่อไปไม่ไหว จัด A5 มา 1 ไม้ค่ะ แค่ไม้เดียวก็ราคา 3,000 เยนแล้ว  T0T แฟนเราสั่งโอเด้งมาอีก 1 ถ้วย ราคา 1,200 เยน กินแก้เลี่ยน



     หลังจากเราคิดว่าไม่มีอะไรที่ต้องกินกันอีกแล้วก็ได้เวลาไปปราสาทก่อนที่มันจะปิดก่อน ดูนาฬิกาตอนนี้บ่ายสองแล้ว ปราสาทปิด 17.00 น. ดังนั้นเราต้องทำเวลา ถึงจะรีบแค่ไหนเราก็เดินเร็วไม่ได้ดังใจ เพราะเริ่มเจ็บเท้ามากจนแทบจะไม่อยากก้าวเท้าเดินแล้วด้วยซ้ำ แต่ถ้าพลาดวันนี้ไปเราคงไม่ได้ปราสาทแล้ว เราเลยอดทนเดินทางต่อไป

ผลไม้ล้างปาก

วีธีเดินทาง: Nippombashi Station >> Morinomiya Station / Exit 1 or 3B

     เดินออกจากสถานีจะเจอ Osaka Castle Park จะเลือกเดินผ่านสวน หรือ นั่งรถรางไปปราสาทก็ได้ ส่วนเราเลือกเดินค่ะ เดินไปเรื่อยๆ เราก็พบความจริงอันโหดร้ายเพราะการจะเดินไปถึงปราสาทได้นั้นจะต้องขึ้นบันไดที่สูงมาก เจ็บเท้าเบอร์แรงขนาดนี้แค่ทางธรรมดาเราก็แย่แล้ว



     แต่ในที่สุดเราก็เดินขึ้นมาถึงจนได้ แต่จากจุดนี้เดินไปอีกประมาณ 900 เมตร เราก็มาถึงปราสาทโอซาก้า วันนี้ฟ้าเปิดมากปลาทองระยิบระยังอยู่ท่ามกลางแสงแดด เราสองคนแวะถ่ายรูปหน้าปราสาทกันสักพัก เพราะแดดกำลังดีแสงกำลังได้ จากนั้นก็เดินแวะหาของกิน (ยังไม่หยุดกิน) เราสั่งซอฟต์ครีมซากุระมาลองชิมดูรสชาติหวานมันดี แต่กลิ่นซากุระไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่โดนรวมก็จัดว่าโอเคน่าลอง


     กินซอฟต์ครีมและนั่งพักขาเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาไปสำรวจในปราสาทกัน ค่าเข้าชมปราสาทโอซาก้า 600 เยน แต่เราใช้บัตร Osaka Amazing Pass เข้าฟรีค่ะ ยื่นบัตรให้พนักงานแสกนบาร์โค้ดเรียบร้อยแล้วก็ไปต่อคิวขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 5 ของปราสาท แล้วเดินขึ้นไปอีก 3 ชั้นจะถึงจุดชมวิว สำหรับเราแล้วมันไม่ได้มีอะไรมากเพราะวิวสวยๆ ถูกกั้นด้วยตาข่ายอีกชั้นถ่ายรูปมาก็ติดตาข่ายไปหมด เราเลยเดินไปซื้อของที่ระลึกแล้วลงไปดูส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์



     เราชอบการนำเสนอของพิพิธภัณฑ์ของปราสาทโอซาก้ามาก มีทั้งปราสาทจำลอง หุ่นจำลองการทำสงคราม มีละครสามมิติให้ดูถึงเราจะฟังไม่เข้าใจแต่ก็พอรู้เรื่องบ้างจากท่าทางขอนักแสดง จุดไหนที่ห้ามถ่ายรูปจะมีเจ้าหน้าที่คอยประจำอยู่คนไหนแอบถ่ายถ้าเจ้าหน้าที่เห็นก็จะเดินไปบอกด้วยความสุภาพขอให้หยุดถ่ายรูป ของที่จัดแสดงอยู่ที่เราชอบมากที่สุดคือ ดาบซามูไร กับ ชุดเกราะ เหมือนถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี


     พอออกจากปราสาทเราก็บอกแฟนว่าเริ่มไม่ไหวแล้วเจ็บเท้ามากให้เรานั่งพักก่อนค่อยไปต่อ เราตั้งใจว่าออกจากปราสาทแล้วจะไป Umeda Sky Building ต่อ แต่เมื่อไม่ไหวเราก็คงไม่ฝืนตัดใจเลือกที่จะกลับที่พัก เราเลือกไปลงสถานี Shisaibashi เพราะต้องหาซื้อรองเท้าใหม่ที่ใส่สบายกว่านี้


     เดินเล่นผ่านย่าน Americanmura ย่านนี้ขายรองเท้า เสื้อผ้า ของใช้วัยรุ่นแนวๆ เยอะมาก คล้ายฮงแดของเกาหลีเลย แต่แฟชั่นที่นี่จะเจ็บกว่าหน่อยโดยรวมแล้วเราชอบมากกว่าที่ฮงแด เดินหารองเท้ามาเรื่อยๆ สุดท้ายเราได้ New Balance ใน ABC Mart มา 1 คู่ เดินกลับเข้าที่พักแช่เท้าแปะแผ่นแก้ปวดซักหน่อย ค่อยออกเที่ยวใหม่ตอนเย็นๆ

     เย็นนี้เรากับแฟนตั้งใจว่าจะไปกินคุชิคัตสึ (Kushikatsu) ทุ่มตรงเรานัดน้องที่รู้จักเดินจากที่พักไปที่ย่าน Shinseikai ระหว่างทางเราต้องผ่าน Den Den Town แลนด์มาร์กของคนที่ชื่นชอบอะนิเมะ คล้ายๆ กับ Akibahara ในโตเกียว เรา 4 คนแวะไขกาชาปอง ลองเล่นตู้คีบตุ๊กตากันเพลินมาก ถึง Shinseikai อีกทีร้านด้านหน้าปิดแทบจะหมดแล้ว


     แต่พอเดินเข้าไปอีกนิดจะเจอร้านอาหารยังเปิดอยู่เต็มไปหมด เราเลือกมองหาร้านคุชิคัตสึและเลือกมาร้านนึง ชื่อร้าน "Kushiage" พออาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเรียบร้อยพวกเราก็เริ่มกินกัน วิธีกินคือให้เราเอาของเสียบไม้จุมลงไปในโถน้ำซอส ถ้ากัดแล้วห้ามเอาไปจุ่มซ้ำ ให้ใช้ใบผักตักน้ำซอสมาราดแทน แต่ร้านที่เรากินไม่เห็นมีผักมาให้เราก็ไม่ได้ถามเพราะไม่ชอบกินผัก อาศัยจุ่มให้ชุ่มก่อนค่อยกิน


     ถ่ายรูปเสร็จเราก็ยังคงวนเวียนหยอดกาชาปองแถวๆ ย่าน Shinseikai ต่อ แล้วก็เดินหามุมถ่ายรูปสุดฮิตของที่กัน เป็นรูปปลาปักเป้ากับหอคอยชินเซไก กว่าเราจะถ่ายรูปกันจนพอใจก็เป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว พวกเลยคิดว่ากลับกันดีกว่า เดี๋ยวรถไฟหมดต้องเดินกลับกันไกล


     แต่เราอยากจะหาแผ่นแปะแก้ปวดเพิ่มซะหน่อย แถวที่พัก Don Quijote อยู่ใกล้ๆ แถมเปิด 24 ชั่วโมง รอช้าอยู่ทำไม เราชวนน้องผู้หญิงออกไปหาซื้อของกัน ส่วนแฟนเรากับน้องผู้ชายก็ไปกินเบียร์แถวๆ ที่พัก ซื้อของกันเพลินเดินกลับมาถึงที่พักประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ พรุ่งนี้นัดกัน 7.00 เช้าไปถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะกัน เช้าๆ หวังว่าคนจะน้อย
บ๊วยแปะเท้าได้เหรอ 5555++


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น