6 Apr 18
เราเริ่มต้นออกเดินทางจากชลบุรี ตอน 6 โมงเช้า เพื่อเอารถไปจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วขึ้น Shuttle Bus ไปยังสนามบินดอนเมือง เพราะช่วงนี้ใกล้จะหยุดยาวแล้วเราเลยต้องรีบออกจากบ้านเผื่อเวลาไปหาที่จอดรถกัน
หลังจากหาที่จอดรถได้เรียบร้อยแล้วเราก็เดินไปขึ้น Shuttle Bus ที่ชั้น 2 ประตู 3 เพื่อไปยังสนามบินดอนเมือง จุดนี้ต้องโชว์ Boarding Pass ให้เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ดูก่อนที่จะขึ้นรถด้วยนะคะ เราไปถึงรถกำลังจะออกพอดีเลยไม่ได้ถ่ายรูปเคาน์เตอร์และตารางเดินรถมาด้วย เราสองคนรีบขนกระเป๋าเดินทางขึ้นรถ มองแล้วว่าไม่มีที่นั่งเลยหันไปคุยกับแฟนว่าเอาไงกันดี จะแข็งแกร่งยืนจนไปถึงดอนเมือง หรือจะนั่งพื้นดี เรายืนได้ประมาณสองนาทีไม่ไหวแล้วพื้นก็พื้นขอให้ได้นั่งสบายๆ ไว้ก่อน
หลังจากหาที่จอดรถได้เรียบร้อยแล้วเราก็เดินไปขึ้น Shuttle Bus ที่ชั้น 2 ประตู 3 เพื่อไปยังสนามบินดอนเมือง จุดนี้ต้องโชว์ Boarding Pass ให้เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ดูก่อนที่จะขึ้นรถด้วยนะคะ เราไปถึงรถกำลังจะออกพอดีเลยไม่ได้ถ่ายรูปเคาน์เตอร์และตารางเดินรถมาด้วย เราสองคนรีบขนกระเป๋าเดินทางขึ้นรถ มองแล้วว่าไม่มีที่นั่งเลยหันไปคุยกับแฟนว่าเอาไงกันดี จะแข็งแกร่งยืนจนไปถึงดอนเมือง หรือจะนั่งพื้นดี เรายืนได้ประมาณสองนาทีไม่ไหวแล้วพื้นก็พื้นขอให้ได้นั่งสบายๆ ไว้ก่อน
นั่งรถประมาณ 40 นาที ถึงสนามบินดอนเมืองเกือบๆ 9 โมง เราแวะไปดูก่อนว่าต้องไปโหลดกระเป๋าที่เคาน์เตอร์ไหน แต่เรามาเช้าเกินไปทางสนามบินยังไม่ประกาศ พวกเราเลยตกลงกันว่าไปหาข้าวกินกันก่อนแล้วกัน
เดินลากกระเป๋าไป Terminal 2 ชั้น 4 จะเจอศูนย์อาหาร "MAGIC FOOD DISTRICT" หลังจากเดินสำรวจราคาอาหารคร่าวๆ ตัดสินใจว่ากินข้าวหน้าเป็ด MK รองท้องก่อนขึ้นไปนอนบนเครื่อง
ระหว่างกินข้าวเราก็เริ่มจัดการเปลี่ยนซิมมือถือไปด้วย ทริปนี้เราซื้อ AIS Sim2Fly มาใช้ วิธีการใช้คงไม่ต้องรีวิวมากมาย (มีคนรีวิวเยอะแล้ว) เราซื้อคนละซิมกับแฟนเผื่อเดินหลงกันหรืออยากแยกกันไปเดินซื้อของจะได้ติดต่อกันได้
ระหว่างกินข้าวเราก็เริ่มจัดการเปลี่ยนซิมมือถือไปด้วย ทริปนี้เราซื้อ AIS Sim2Fly มาใช้ วิธีการใช้คงไม่ต้องรีวิวมากมาย (มีคนรีวิวเยอะแล้ว) เราซื้อคนละซิมกับแฟนเผื่อเดินหลงกันหรืออยากแยกกันไปเดินซื้อของจะได้ติดต่อกันได้
ถ้านับรวมวันเดินทางแล้วเราไปทั้งหมด 11 วัน แต่แพ็คเก็จของ AIS ซื้อซิมครั้งแรก 399 จะได้แพ็คเก็จ 8 วัน / 4 GB ทำให้ต้องซื้อแพ็คเก็จเพิ่มให้ครอบคลุมเวลาเที่ยวตลอดทั้งทริป เราเลือกไปที่ Shop AIS เพื่อให้พนักงานงานแนะนำและจัดการสมัครแพ็คเก็จเสริมให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางไปกับแฟนแค่สองคน ทุกอย่างๆ ต้องเซฟไว้ก่อน เพราะทริปนี้เราขาดเพื่อนผู้เป็นวุ้นแปลภาษาไปความมั่นใจลดลงไป 15 %
พนักงาน AIS ย้ำๆๆๆ กับเราบ่อยมากว่า ถ้าเราถึงญี่ปุ่นแล้วให้เปิด Cellular กับ Roaming ด้วย ถึงจะสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ ตอนอยู่ในไทยห้ามเปิด Cellular เด็ดขาดไม่งั้นจะโดนหักเงิน ถ้าเงินไม่พอโปรเสริมจะไม่สามารถใช้งานได้ เราเลยเติมเงินให้เกินๆ ไว้เพื่อความสบายใจ
(เราหาข้อมูลเพิ่มเติมไว้เผื่อซิม AIS ใช้ไม่ได้ เราสามารถซื้อซิมญี่ปุ่นจากตู้หยอดเหรียญที่สนามบินคันไซใช้แทนได้ค่ะ)
(เราหาข้อมูลเพิ่มเติมไว้เผื่อซิม AIS ใช้ไม่ได้ เราสามารถซื้อซิมญี่ปุ่นจากตู้หยอดเหรียญที่สนามบินคันไซใช้แทนได้ค่ะ)
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางไปกับแฟนแค่สองคน ทุกอย่างๆ ต้องเซฟไว้ก่อน เพราะทริปนี้เราขาดเพื่อนผู้เป็นวุ้นแปลภาษาไปความมั่นใจลดลงไป 15 %
หลังกินข้าวเสร็จก็ยังไม่ได้เวลาโหลดกระเป๋า เราเลยเดินมานั่งรอที่ชั้น 2 บริเวณทางเชื่อมระหว่าง Terminal 1 และ Terminal 2 สายตาเหลือบไปเห็น "ชาตรามือ" เลยแวะไปส่องราคาซะหน่อย สาขาสนามบินดอนเมืองทำราคาออกมาค่อนข้างดีค่ะ แพงกว่าสาขาทั่วไป 10 - 20 บาท ถ้าเทียบกับร้านข้าวหรือร้านกาแฟอื่นๆ แล้วราคาไม่น่าตกใจเท่าไหร่ เราเลยจัดชาบ๊วยน้ำผึ้งมะนาว + ไข่มุขมรกตมา 1 แก้วถ้วน
ขาไปเราบินด้วยสายการบิน Thai Air Asia X / Fight No. XJ610 จาก ดอนเมือง ไป โอซาก้า เวลา 14.10 ( Re-time จาเดิม 14.45)
เราทำ Web Check In มาเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ไปโหลดกระเป๋าเดินทางที่เคาน์เตอร์ พอใกล้ 11.00 น. เราก็รีบเดินไป Row 4 เพื่อโหลดกระเป๋าเดินทาง ปรากฏว่าแถวคิวยาวไปถึงหน้า Row 2 เรียบร้อยแล้ว แอบนึกอยู่ในใจแล้วฉันมาเช้าเพื่ออะไร มั่วแต่กิน มั่วแต่เข้าห้องน้ำออกมาเจอคิวยาวจนได้
ระหว่างต่อคิวอยู่นั้นเราแอบได้ยินคนข้างหลังถามพนักงานที่อยู่แถวๆ นั้นว่าขอใช้สิทธิ์ผู้ถือบัตรเครดิต Airasia เข้าช่อง Premium Check In ได้มั้ย เรากำลังหยิบบัตรถามพนักงานอยู่พอดีเลยแอบฟังเค้าคุยกัน (ขอฝังด้วยคนสิ)
พนักงานแจ้งว่าใช้ได้เฉพาะผู้ถือบัตรเท่านั้น ถึงแม้ว่าคนอื่นจะจองมาใน Booking No. เดียวกันก็เช็คอินด้วยกันไม่ได้ถ้าไม่มีบัตร เราก็หันไปคุยกับแฟนว่าไม่น่าทำบัตรเครดิตนี้มาเลย ใช้อัพเกรดที่นั่งใน Quite Zone ก็ไม่ได้ น้ำหนักกระเป๋าก็ซื้อมาแล้ว แถมยังให้เช็คอินได้เฉพาะผู้ถือบัตรอีก ดูไร้ประโยชน์จังเลย สงสัยเราคงใช้ได้แค่เอาไว้แค่จองตั๋วและขอ Soft Drink เท่านั้น (ขึ้นมาด้านบนแอร์แจ้งว่าได้เฉพาะโค้ก)
แต่ในใจเราก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามหยิบบัตรออกมาโบกไปโบกมาให้พนักงานคนอื่นเห็น พอถึงจุดแยกแถวระหว่าง Premium กับ ช่องปกติ พนักงานที่ยืนประจำจุดนั้นเห็นเราถือบัตร Airasia เลยเดินเข้ามาถามเราว่ามากันกี่คน พอบอกไปว่ามากันแค่ 2 คน เค้าก็แจ้งว่าให้เข้าเช็คอินช่อง Premium พร้อมกันได้เป็นกรณีพิเศษนะคะ (ดีงามพระรามแปดไม่ต้องต่อคิวยาวอีกหลายโล)
หลังจากโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็เข้าสู่พิธี ผ่าน ต.ม. ตอนนี้ใบขาเข้า - ออกไม่ต้องกรอกแล้ว เราสามารถใช้ Auto Gate ได้เลย ผ่าน ต.ม. เรียบร้อยแล้วก็ไปตรวจสัมภาระต่อ (จุดนี้เราระวังมากของมีค่าเอาใส่กระเป๋าล็อคกุญแจไว้ ก่อนเราเดินทางข่าวโจรเครื่องสแกนพีคจัด) การตรวจสัมภาระของเรากับแฟนไม่มีปัญหาอะไร เราสองคนเลยเดินไปหาที่นั่งชาร์ตแบตมือถือใกล้ๆ Gate กัน
แต่ในใจเราก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามหยิบบัตรออกมาโบกไปโบกมาให้พนักงานคนอื่นเห็น พอถึงจุดแยกแถวระหว่าง Premium กับ ช่องปกติ พนักงานที่ยืนประจำจุดนั้นเห็นเราถือบัตร Airasia เลยเดินเข้ามาถามเราว่ามากันกี่คน พอบอกไปว่ามากันแค่ 2 คน เค้าก็แจ้งว่าให้เข้าเช็คอินช่อง Premium พร้อมกันได้เป็นกรณีพิเศษนะคะ (ดีงามพระรามแปดไม่ต้องต่อคิวยาวอีกหลายโล)
หลังจากโหลดกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็เข้าสู่พิธี ผ่าน ต.ม. ตอนนี้ใบขาเข้า - ออกไม่ต้องกรอกแล้ว เราสามารถใช้ Auto Gate ได้เลย ผ่าน ต.ม. เรียบร้อยแล้วก็ไปตรวจสัมภาระต่อ (จุดนี้เราระวังมากของมีค่าเอาใส่กระเป๋าล็อคกุญแจไว้ ก่อนเราเดินทางข่าวโจรเครื่องสแกนพีคจัด) การตรวจสัมภาระของเรากับแฟนไม่มีปัญหาอะไร เราสองคนเลยเดินไปหาที่นั่งชาร์ตแบตมือถือใกล้ๆ Gate กัน
ปรากฏว่าเกิด Event จ้าาาาาาาาา ขณะที่เรากำลังจัดกระเป๋าเงินอยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บัตรเครดิตคืนตอนยื่นใช้สิทธิ์ที่เคาน์เตอร์ตอนโหลดกระเป๋า (ยังดีที่นึกได้ก่อนเครื่องออก) งานงอกสิ จะกลับไปเคาน์เตอร์เราก็เดินมาไกลแล้ว เลยลองไปถามเจ้าหน้าที่ตรงหน้า Gate ดู ทางเจ้าหน้าที่ Airasia ประสานงานให้และแจ้งว่าเดี๋ยวจะให้น้องฝึกงานเอาบัตรเข้ามาให้ที่หน้า Gate ให้เรานั่งรอก่อน เราได้รับความช่วยดีมากในที่สุดเราก็ได้บัตรคืน (ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ^-^)
ครั้งนี้เรายังคงเลือกที่นั่งใน Quite Zone เหมือนทริปที่ผ่านๆ มา เพราะเป็นโซนเงียบเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ไม่สามารถจองที่นั่งโซนนี้ได้ โซนนี้ไฟถูกปรับให้สลัวๆ หน่อยเหมาะกับการงีบหลับมาก เรานอนมองท้องฟ้าไปซักพักก็หลับไปจริงๆ
ตื่นมาอีกทีตอนแอร์เรียกขอดูตั๋วเพื่อแจกอาหารที่สั่งไว้ เรากับแฟนสั่งเมนูเดียวกัน คือ ข้าวอบไก่ย่างเราว่าไก่รสชาติโอเค แต่ข้าวมันแฉะมากเหมือนหุงข้าวใส่น้ำเยอะเกิน แต่เราก็กินจนเกือบหมด เหลือแครอทไว้ 1 ก้าน
หลังจากกินอิ่มเราก็เริ่มรู้สึกเบื่อจะนอนต่อก็นอนไม่หลับ หยิบแม็กกาซีนมาอ่านก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก สักพักเราก็มาถึงจุดที่อยากจะตะโกนดังๆ ว่า "เอาพี่ออกไปจากตรงนี้ พี่ออกไปอยากเดินเล่น พี่ไม่ไหวแล้วววววววววววว"
พอใกล้จะถึงจุดหมายแอร์ก็เดินแจกใบ ต.ม. และใบศุลกากรของญี่ปุ่น จุดนี้พลาดมากพลาดทุกครั้งเราพกปากกามาแต่เราเอาใส่ไว้ในกระเป๋าที่อยู่ในช่องเก็บของ (ทุกทีลืมก็ยังยืมเพื่อนแต่คราวนี้จะยืมใครหละ) จะลุกไปปากกาหยิบก็เกรงใจคนนั่งด้านนอก สุดท้ายเราก็ไปขอยืมจากแอร์ (จริงๆ ลงมากรอกก่อนเข้า ต.ม. ก็ได้ถ้าไม่ได้รีบไปต่อ ตรงนั้นมีเคาน์เตอร์ มีปากกาให้ยืนกรอกสบายๆ )
ระหว่างกำลังกรอกเอกสารเสียงประกาศจากกัปตันดังขึ้นแจ้งว่าใกล้ถึงแล้ว และสภาพอากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีฝนตกนิดหน่อย เครื่องบินวนๆ ขึ้นๆ ลงๆ อยู่สักพัก กัปตันก็ประกาศว่าเราเดินทางมาถึงอย่างปลอดภัย ขอบคุณอะไรอีกก็ไม่รู้ ม่ได้ฟังทั้งนั้น รู้แต่ในใจร้องตะโกนว่า คันไซจ้า พี่มาแล้ววววว !!!!
(สำหรับ Airasia เครื่องจะลงที่ Terminal 2)
ตัวอย่างการกรอกใบ ต.ม. ญี่ปุ่น |
ตัวอย่างการกรอกใบศุลกากรญี่ปุ่น |
ระหว่างกำลังกรอกเอกสารเสียงประกาศจากกัปตันดังขึ้นแจ้งว่าใกล้ถึงแล้ว และสภาพอากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีฝนตกนิดหน่อย เครื่องบินวนๆ ขึ้นๆ ลงๆ อยู่สักพัก กัปตันก็ประกาศว่าเราเดินทางมาถึงอย่างปลอดภัย ขอบคุณอะไรอีกก็ไม่รู้ ม่ได้ฟังทั้งนั้น รู้แต่ในใจร้องตะโกนว่า คันไซจ้า พี่มาแล้ววววว !!!!
(สำหรับ Airasia เครื่องจะลงที่ Terminal 2)
เดินออกเครื่องเราก็เดินตามป้าย Immigration ไป เอาจริงๆ ต้องเรียกว่าเราเดินตามเหล่าฝูงชนไปขึ้น Monorail ถึงจะถูก เดินตามๆ กันไปจนถึงจุดผ่าน ต.ม. จุดนี้ห้ามถ่ายรูปแต่ก็ยังมีคนถ่าย =__=
เดินไปตามเขาวงกตเรื่อยๆ ในที่สุดก็ได้พบกับ ต.ม. ซักที พอไปหน้าเคาน์เตอร์เราก็ยื่นพาสปอร์ตให้ ต.ม. มองหน้าเราเทียบกับพาสปอร์ตแปปนึง
จากนั้นเค้าชี้มือให้เรามองกล้องและทำการแสกนนิ้ว (มีเสียงบอกเป็นภาษาไทย) ระหว่างนี้เราก็ตั้งใจรอฟังว่าเค้าจะถามอะไรเรามั้ย ปรากฏว่าไม่ถามอะไรเลย แปะสติ๊กเกอร์ให้อยู่ได้ 15 วัน คืนพาสปอร์ตให้เราเป็นอันจบพิธี (เอ๊าาาาาา....พี่ พี่คะ ไม่คุยกับนู๋หน่อยเหรอ 55555+++ )
พอผ่าน ต.ม. เราก็มารอรับกระเป๋า ระหว่างรอมีกระเป๋าใบนึงหล่นออกมาจากสายพานเพราะจัดวางมาไม่ดี พนักงานดูรู้สึกผิดมากเค้ารีบเดินมาโค้งขอโทษคนที่อยู่รอบๆ แล้วเดินไปหยุดการทำงานสายพาน เดินเข้าไปจัดเรียงกระเป๋าใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง จัดการเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาโค้งขอโทษที่ทำให้ทุกคนเสียเวลา
ตราสัญลักษณ์แบบใหม่ |
พอผ่าน ต.ม. เราก็มารอรับกระเป๋า ระหว่างรอมีกระเป๋าใบนึงหล่นออกมาจากสายพานเพราะจัดวางมาไม่ดี พนักงานดูรู้สึกผิดมากเค้ารีบเดินมาโค้งขอโทษคนที่อยู่รอบๆ แล้วเดินไปหยุดการทำงานสายพาน เดินเข้าไปจัดเรียงกระเป๋าใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง จัดการเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาโค้งขอโทษที่ทำให้ทุกคนเสียเวลา
หลังเราได้กระเป๋าแล้วก็เดินต่อไปที่ศุลกากร จากที่เคยอ่านรีวิวมาบางคนอาจจะโดนถาม บางคนอาจจะโดนขอค้นกระเป๋า เราสองคนเลือกเดินเคาน์เตอร์ที่ว่างอยู่ ยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ ขณะที่กำลังเตรียมจะยกกระเป๋าวางบนสายพานให้ตรวจ เจ้าหน้าที่ถามว่ามากันสองคนใช่มั้ย เราสองคนก็ตอบไปว่าใช่ โอเคผ่านพร้อมทั้งคืนพาสปอร์ตให้กับเราสองคน (ฮ๊าาาาาาาาาา ทำไมตรวจแต่คนอื่นไม่ตรวจพวกเรา)
ต่อจากนี้ก็ได้เวลาที่เราจะไปหาที่นอนกัน คืนนี้เราจะไปนอนที่ Waiting Room ใน Aero Plaza Kansai Airport ตอนแรกเราก็กังวลเพราะไม่เคยนอนสนามบินมาก่อน แต่ในเมือเดินทางมาถึงดึกและเช้าต้องไปต่อ สะดวกที่สุดคือการค้างคืนที่สนามบิน นอกจากจะประหยัดเวลาแล้ว ยังไม่ต้องเสี่ยงออกไปเดินในที่ๆ ไม่รู้จักตอนกลางคืนด้วย
หลังออกจากศุลกากรมา ให้มองทางขวามือจะเห็นบันไดขึ้นไปชั้น 2 จากนั้นเดินตามป้าย Subway ไปจะเจอทางเข้า Subway อยู่ทางขวามือ JR Offeice อยู่ทางซ้ายมือ แสดงว่ามาถูกทางแล้วสุดทางเดินนี้เป็นทางเข้า Aero Plaza
เมื่อเข้ามาใน Aero Plaza แล้วจะเจอ Family Mart กับ Berger King อยู่ทางขวามือ ให้เดินตรงไปทางเข้า Waiting Room จะอยู่หลังบรรไดเลื่อนที่จะขึ้นไป First Cabin (หรืออยู่ตรงข้ามกับทางเข้า Berger King เลยค่ะ) หรือจะเดินผ่านห้อง Shower Room เข้าไปก็ได้มีทางเชื่อมถึงกัน
เมื่อเข้ามาใน Aero Plaza แล้วจะเจอ Family Mart กับ Berger King อยู่ทางขวามือ ให้เดินตรงไปทางเข้า Waiting Room จะอยู่หลังบรรไดเลื่อนที่จะขึ้นไป First Cabin (หรืออยู่ตรงข้ามกับทางเข้า Berger King เลยค่ะ) หรือจะเดินผ่านห้อง Shower Room เข้าไปก็ได้มีทางเชื่อมถึงกัน
หลังจากหาที่นอนในคืนนี้ได้แล้ว เราสองคนก็ออกไปหาอะไรกินที่ Family Mart ปรากฏว่าแทบไม่มีอะไรเหลือให้เรากินสภาพเหมือนโดนกวาดล้างของกินไปเกลี้ยงตู้ เหลือแค่น้ำ, เบียร์และขนม
เราเลยซื้อของนิดหน่อยและเลือกที่จะไปหาอะไรกินที่ Berger King แทน เบอร์เกอร์เนื้อดีมาก อร่อยกว่าบ้านเราไม่รู้คิดไปเองรึป่าว ไม่รู้อร่อยหรือหิว แต่ที่แน่ๆ พายแอปเปิ้ลมีความฟินสุดๆ
เราเลยซื้อของนิดหน่อยและเลือกที่จะไปหาอะไรกินที่ Berger King แทน เบอร์เกอร์เนื้อดีมาก อร่อยกว่าบ้านเราไม่รู้คิดไปเองรึป่าว ไม่รู้อร่อยหรือหิว แต่ที่แน่ๆ พายแอปเปิ้ลมีความฟินสุดๆ
กินอิ่มแล้วก็ได้เวลานอนพักผ่อน (อีกแล้ว) ในโซนพักที่จัดไว้ให้นี้จะไม่ปิดไฟ, มีเจ้าหน้าที่เดินตรวจตราตลอดเวลา, มีกล้องวงจรปิดทุกซอกทุกมุม, มีผ้าห่มแจกให้ยืมฟรีตอน 5 ทุ่ม, มีห้องอาบน้ำหยอดเหรียญ 15 นาที / 500 เยน, มีห้องน้ำแบบมีที่ฉีดอัตโนมัติให้เล่น (มีอยู่ทุกที่รุ่นใหม่หรือเก่าแตกต่างกันไป) เรียกได้ว่าอำนวยความสะดวกให้คนที่รอเดินทางต่ออย่างเต็มที่เลยทีเดียว
แต่มีข้อเสียคือ เสียงรบกวนเพราะมีคนเข้าออกตลอดเวลา มีเสียงคนกรน มีเสียงคนคุยเบาๆ ตลอด แต่โดยรวมแล้วค่อนข้างเงียบและไม่วุ่นวาย
ในตอนที่เราหลับได้ซักพัก ได้ยินสียงตะโกนคุยกันระหว่างคนอยู่ในห้องน้ำกับคนที่อยู่ด้านนอก เสียงนี้มันทำเอาหลายๆ คนเหลือบตาลุกขึ้นมามอง หลายๆ คนตกใจตื่น รวมถึงตัวเราด้วย แต่เรารู้สึกแย่สุดคือภาษาที่เค้าพูดกันเป็นภาษาไทย (อายค่ะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น