7 Apr 18
เราตื่นตอน 4.00 น. ตั้งใจว่าจะไปอาบน้ำแต่สุดท้ายก็ไม่ได้อาบ ล้างหน้าแปรงฟันอย่างเดียว หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้าเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกไปต่อคิวรอบรับบัตร Haruka + Iccoca ที่ JR Office อยู่ใกล้ๆ ทางเข้า Aero Plaza นั่นแหละค่ะ หาไม่ยากป้ายเบ้อเร้อ!!
เราเดินลงมารอที่ Track No. 4 เดินชื่นชมตู้กดน้ำอยู่สักพัก ก็เริ่มไม่ไหวตรงชานชลาลมแรงมาก อากาศบ้านเราก่อนเดินทางประมาณ 30 องศา เช้านี้ที่เกียวโต 14 องศา แถมลมแบบเปิดพัดลมฮาตาริเบอร์แรงสุดไป อยู่ไหวเหรอ!!! กลับขึ้นมาด้านบนกันอีกรอบเข้าห้องน้ำทำอะไรให้เรียบร้อย เราเห็นคนทยอยเดินลงไปค่อนข้างเยอะแล้ว นึกในใจไม่หนาวกันรึไง
พอใกล้ๆเวลาเราก็กลั้นใจลงไปอีกรอบกลับไปยืนสิงตู้น้ำเหมือนเดิม ระหว่างนี้แฟนเราสังเกตุว่าคนที่ลงมาเยอะๆ นั้นหายไปไหนหมด เลยให้เรารออยู่แถวนี้แล้วไปเดินสำรวจรอบๆ ซะหน่อย ปรากฏว่ามันมีห้อง Waiting Room ที่มีฮีทเตอร์หลบลมหนาวได้ ฮ่าๆๆๆๆๆ (ทำไมไม่เดินดูแต่แรก T^T ทนหนาวอยู่ได้)
เข้าไปนั่งในที่อุ่นๆ สบายๆ ซักพักก็ตามฝูงชนไปต่อคิวรอขึ้นรถ เราโชคดีที่คนไม่เยอไม่งั้นคงต้องยืนตั้งแต่ Osaka ยันเกียวโตแน่นอน หลังจากเก็บกระเป๋าไว้ตรงที่เก็บใกล้ๆ ประตูทางขึ้น เราก็เดินมาหาที่นั่ง ความตั้งใจคือจะชมวิวข้างทางไปจนถึงเกียวโต แต่ความเป็นจริงนั้นคือเพลีย ยั๊งไม่ได้นอน~ ~ (เสียง Youngohm) สุดท้ายก็หลับยาวๆ ไปจนเกือบถึงเกียวโต ลืมตาตื่นมาเห็นซากุระข้างทาง อื้มมมมมมม เราต้องได้เจอกันแน่นอนซากุระจัง ^___^
ถึงสถานีเกียวโตก็เดินตามป้าย Central Exit ไป เพราะเราต้องไปซื้อตั๋ว Kyoto One Day Bus Pass ราคา 500 เยน สำหรับเดินทางในเกียวโตวันนี้ค่ะ ซื้อได้ทั้งจากตู้กดและห้องขายตั๋ว เราเลือกซื้อที่เคาน์เตอร์ในห้องขายตั๋วเพราะอยากได้แผนที่ (อยากได้ทำไม เอามาก็ไม่ได้ดู ดูแผนที่ๆ save ไว้ในมือถือตลอด 5555++ )
หลังจากได้บัสพาสเรียบร้อยแล้ว เราตั้งใจจะเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่พักก่อน เราจะพักกันที่ Backpackers Hostel K's House Kyoto เป็นเวลา 2 คืน จาก Kyoto Station นั่งบัสไป K's House สามารถนั่งรถสาย 17 และ 206 ไปสองป้ายลงที่ Nanajo Kawaramachi แต่เรามองดูแล้วคนต่อคิวขึ้นรถเยอะมาก ทั้งกระเป๋าเราสองคนก็ไม่ใหญ่ขึ้นบัสคงไม่สะดวกนัก เลยตกลงปรงใจว่าเดินค่ะ
เปิด GPS เดินจากสถานีเกียวโตไปได้หลายทางเราเลือกเดินทางหลักเส้นใหญ่ๆ ก่อนเพราะลากกระเป๋าไปด้วย และยังไม่ชินกับเส้นทางจะได้ไม่เสียเวลาเดินผิดเดินถูก จากนั้นก็ลากกระเป๋าผ่านเส้นทางสู่ดวงดาว 950 เมตร ในที่สุดก็ถึงที่พักของเราในคืนนี้
เรามาถึงเช้าเกินไปตอนนี้ยังไม่สามารถเช็คอินเข้าที่พักได้ เราเลยฝากกระเป๋าขอฝากกระเป๋ากับที่พักไว้ก่อน หลังกรอกเอกสารกับที่พักเรียบร้อยแล้ว เค้าก็ถามว่าเราจะกลับเข้าที่พักประมาณกี่โมง เราแจ้งไปว่ากลับมาประมาณ 16.00 น. ฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ออกเที่ยวต่อทันที
ก่อนเดินทางเราค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับการใช้รถเมล์ในเกียวโตมาก ไม่แน่ใจว่าจะลงถูกป้ายมั้ย จะสื่อสารกันยังไง แต่ปรากฏว่าผิดคาดเพราะบนรถเมล์จะมีจอแสดงชื่อสถานี และมีเสียงประกาศชื่อสถานีตลอด จะประกาศทั้งหมด 4 ภาษา (ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อังกฤษ) ทำให้เราใช้บัสได้แบบหมดกังวล ไม่ต้องคอยดู GPS ว่าใกล้ถึงรึยัง แค่จำชื่อป้ายที่จะลงแล้วค่อยฟัง แล้วเตรียมกดกริ่งลง
จุดหมายแรกของเราคือไปร้านเช่ากิโมโน ชื่อร้าน Okamoto Kimono สาขา Kiyomizu Higashiyama ออกจากซอยที่พัก เลี้ยวซ้ายเดินไปตามทาง ข้ามสะพาน Shichijo เพื่อไปขึ้นรถเมล์
วิธีเดินทาง: จากป้าย Nanajo Keihanmae ขึ้นรถเมล์สาย 100 หรือ 206 ไปลงที่ป้าย Kiyomizu-michi
เรามาเริ่มใช้ 1 Day bus pass กัน เราขึ้นสาย 100 ซึ่งเป็นสายที่เหมาจ่าย 230 เยนตลอดสาย เพราะฉนั้นตอนขึ้นที่ประตูหลังจะไม่มีที่เสียบบัตร จะต้องเสียบบัตรตอนลง เครื่องจะอยู่ข้างๆ คนขับเลยค่ะ (หรือบางทีที่คนเยอะมากๆ คนขับจะขอดูแค่ด้านหลังบัตรกรณีที่บัตรเปิดใช้งานแล้ว) ส่วนใครที่ไม่ใช้พาสก็หยอดเหรียญจ่ายไปก่อนได้ ไม่มีเหรียญก็แลกกับคนขับได้เลย หรือจะใช้ IC Card จ่ายเงินก็ได้
นั่งไป 4 ป้ายลงที่ Kiyomizu-michi ร้านอยู่ใกล้ๆ กับป้ายรถเมล์เลยค่ะ เราจองคิวไว้ 9.30 น. ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เลยเดินไปหาอะไรรองท้องที่ Family Mart ก่อน
จัดการมือเช้าเสร็จแล้วก็เดินมาที่ร้าน Okamoto ยื่นใบการจองที่ปริ้นมาเรียบร้อยให้พนักงานดู (ย้ำๆ ต้องปริ้นเท่านั้น) จากนั้นพนักงานก็พูดรั่วๆ เป็นภาษาญี่ปุ่นใส่เรา จนเราต้องบอกเค้าว่าช่วยพูดเป็นภาษาอังกฤษได้มั้ย เราไม่เข้าใจ
เค้าปรับโหมดไว้มากจากพูดญี่ปุ่นรัวๆ ทีนี้มาอังกฤษรัวๆ เค้าก็คอนเฟิร์มรายละเอียดการจองของเราก่อน เราจอง Full-Scale Attire Plan 5,000 เยน + ค่าทำผมอีก 500 เยน และ ของแฟนเราเป็น Men's Kimono Plan 4,000 เยน บวก Tax แล้วเป็นเงิน 10,260 เยน จ่ายเงินกับพนักงานเรียบร้อยแล้ว เค้าก็แจกถุงผ้าคนละใบ พาเราไปเลือกกิโมโน และพร็อพต่างๆ ถ้าเราเลือกไม่ถูกไม่ต้องกลัวค่ะ ขอความช่วยเหลือกับพนักงานได้เลย เค้าจะช่วยเราเลือก อาจจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่เราใช้ภาษากายล้วนๆ ก็รอดค่ะ
ขั้นตอนในการแต่งตัวเราเคยอ่านรีวิวมาแล้วว่าต้องถอดหมดเหลือแต่ชุดชั้นใน ฉนั้นเลยเลยเตรียมตัวมาใส่เสื้อและกางเกงซับในมากันโป๊เรียบร้อย ส่วนคนอื่นๆ เค้าก็แต่ตัวกันไปไม่ได้มีใครสนใจใครอยู่แล้ว หลังจากเราใส่ชุดสีขาวด้านใน 1 ชั้นแล้ว พนักงานก็จะเข้ามาเริ่มแต่งตัวให้ เราก็ยังสงสัยว่าเค้าจะเก็บกิโมโนยังไง เพราะมันยาวมากแต่เค้าก็มีวิธีจัดการให้ออกมาสวยได้ ที่สำคัญคือตอนรัดกิโมโนแต่ละขั้นจะแน่นมาก เราใช้วิธีทำพุงป่องๆ สู้เค้าไว้ พอหายใจปกติมันจะรัดไม่แน่นจนเกินไป
หลังจากแต่งตัวทำผมกันเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาออกเดินทาง วันที่เราไปถึงเกียวโตซากุระในที่สวยๆ ร่วงไปเกือบหมดแล้ว เหลือแค่วัด Ryoanji และวัด Ninnaji ที่ยังคงพอมีให้เห็นอยู่ซึ่งวันนี้แพลนเราไม่ได้ไปจุดนั้น สุดท้ายเราตัดสินใจเปลี่ยนแพลนค่ะ อยากเห็นซากุระเลยต้องเรียงแพลนใหม่ตามนี้
Kinkakuji Temple >> Ryoanji Temple >> Ninnaji Temple
เมื่อตัดสินใจได้ก็เริ่มออกเดินทางนั่งบัสสาย 100 ไปลงที่ Gion จากนั้นต่อสาย 12 ไปลงที่ Kinkakuji-michi มาถึงวัด Kinkakuji Temple แค่เดินผ่านทางเข้าวัดยังไม่ถึงปราสาททองคนก็ยังเยอะมาก เราแวะถ่ายรูปไปตามทางเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อน จากนั้นก็จ่ายเงินค่าเข้าชมสถานที่คนละ 300 เยน
เดินไปตามทางเรื่อยๆ ก็จะเจอกับปราสาททอง จุดนี้ต้องแย่งชิงพื้นที่ถ่ายรูปมาก ด้วยความที่คนที่มาแถวนี้ใส่กิโมโนน้อยมาก เราก็เลยเหมือนของแปลก เดินไปไหนก็มีแต่คนมอง รู้สึกป๊อปเบาๆ 5555+++
หลังจากถ่ายรูปเสร็จเราก็รู้สึกว่าไม่อินกันการเป็นวัดเท่าไหร่ จิตใจเรียกร้องอยากเห็นซากุระ เลยเดินออกมาจะขึ้นรถเมล์ไปวัด Ryoanji ปรากฏว่าคนต่อคิวเยอะมาก คงอีกนานกว่าจะได้ไป เราเลยลองใช้ google วัดระยะทางจากจุดที่เราอยู่ไปวัด Ryoanji ประมาณ 1.6 กิโล จะเดินด้วยชุดกิโมโนก็คงไม่ไหว ไม่เกิน 2 กิโลงั้นนั่งแท็กซี่ก็ได้
ไม่ถึง 10 นาทีเราก็นั่งแท็กซี่มาถึงวัด Ryoanji ค่าเสียหายทั้งสิ้น 770 เยน ถือว่าโอเคประหยัดเวลาไปได้มาก วัด Ryoanji เสียค่าเข้าชมคนละ 500 เยน ที่นี่ข้างน้อยกว่าวัด Kinkakuji ทำให้เราเดินเล่นอยู่ในสวนของวัดได้สบายๆ ซากุระที่นี่เริ่มจะร่วงแล้ว ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แล้ว เราก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็ได้รูปใส่กิโมโนกับซากุระแล้ว ได้มาเห็นก็คุ้มละ
ออกจากวัด Ryoanji เราก็ไปต่อกันที่วัด Ninnaji เราเลือกที่จะเดินเล่นๆ ไปเพราะเหลือเวลานานกว่าจะต้องคืนชุด และการเดินของเราก็ไม่ผิดหวัง ตามบ้านแถวๆ นั้นยังมีต้นซากุระสวยๆ อยู่ เดินมาประมาณ 1.4 km ตาม GPS ก็ถึงวัด ที่นี่คนเยอะมาก เยอะตั้งแต่บางทางเค้า เราเห็นคิวต่อแถวซื้อบัตรเข้าสวนซากุระยาวไปร้อยเมตร โอเคยอม ไม่เข้าก็ได้ ถ่ายรูปเล่นแถวๆ หน้าวัดก็พอแล้ว เข้าไปก็ไม่รู้จะสวยมั้ย เหนื่อยแล้ว หิวแล้ว พอ!!!!
เดินออกมาหน้าวัดฝนตกปรอยๆ กระเป๋ากล้องก็ไม่ได้เอามา ไม่มีที่ให้หลบฝนเลยด้วย บัสที่มาก็เต็มเรียกได้ว่าแน่นเป็นปลากระป๋องเลย เอาไงกันดี เราเลยตัดสินใจว่าจะนั่ง Taxi ไปสถานีที่ใกล้ที่สุดใช้รถไฟเดินทางแทน
วิธีเดินทาง: Taxi >> Hanazono Station ค่าเสียหาย 1,100 เยน >> นั่งรถไฟไปลง Kyoto Station 200 เยน จ่ายด้วยบัตร Icoca
เรานั่งบัสสาย 100 จาก Kyoto Station ไปคืนกิโมโน จากนั้นเราตั้งใจขึ้นรถบัสกลับมาที่พัก แต่เลยป้าย ทำให้เรากลับมาที่ Kyoto Station อีกครั้ง ด้วยความหนาว หิว เหนื่อย เราไม่อยากเสี่ยงขึ้นลงรถบัสผิดป้ายแล้ว เลยเลือกที่จะเดินกลับมาที่พัก ระหว่างเดินไปที่พักตอนเช้าเราจำได้ว่ามีร้าน Sukiya อยู่ตรงหัวมุมถนน รออะไรหละ เข้าไปกินสิ ร้านนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเยอะถึงพนักงานจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เค้ามีเมนูภาษาอังกฤษ เราสองคนก็จิ้มมาคนละเมนู นั่งรอแปปเดียวอาหารก็มาเสิร์ฟ เราว่ามันอร่อยกว่าบ้านเรา (จริงๆ ตอนนี้อะไรๆ ก็อร่อยเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวเลย)
กินเสร็จเราก็เดินต่อไปยังที่พัก เรารับกระเป๋าที่ฝากไว้ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 4 ซึ่งเป็นที่กบดาน 2 วันของเราในเกียวโต ห้องพักเป็นห้องแบบเตียงเดี่ยว มีพื้นที่ให้วางกระเป๋าเดินทางสองใบได้สบายๆ มีโต๊ะเขียนหนังสือให้ มีแอร์+ฮีทเตอร์ ไฟในห้องประความสว่างได้ ส่วนห้องน้ำและห้องอาบน้ำเป็นแบบรวม มีสบู่แชมพู ครีมนวด และไดร์เป่าผมให้พร้อม รวมๆ แล้วค่อนข้างสะอาดเลยทีเดียว
จัดของทำอะไรเสร็จเราก็อาบน้ำกลับมานอน กะว่านอนซัก 2 ชั่วโมงค่อยออกไปหาอะไรกินอีกที ตื่นอีกทีตอน 1 ทุ่ม น้องที่รู้จักกันชวนไปหาเนื้อกินร้านใกล้ๆ ที่พัก เราก็ขอตัวไปหาซื้อแผ่นแปะแก้ปวดก่อนแล้วจะตามไป ได้แผ่นแปะยอดฮิตมาแล้วก็แกะแปะเลย ตอนนี้รู้สึกหนาวมาก ฝนก็ตก ลมก็แรง ในใจคิดเรามาทำอะไรที่นี่วะ ทำไมไม่อยู่บ้าน 5555+++ แต่หลังจากที่เราตามน้องไปจนถึงร้านอาหารความคิดเราก็เปลี่ยนไป อาหารเยียวยาทุกอย่างได้
ร้านที่เราไปกันวันนี้ชื่อ "ร้าน Kyo no Miyako" เป็นร้านอาหารเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ สะพาน Shichijo ฝั่งตรงข้ามกับ K's House ภรรยาของลุงจะเป็นคนทำ ลุงมีหน้าคอยดูแลลูกค้าและเสิร์ฟอาหาร หลังจากสำรวจเมนูแล้วเราก็จัดการสั่งชุดเนื้อย่างมา 1 ชุด ส่วนแฟนเราสั่งยากิโซบะ 1 จาน
นั่งๆ กินอยู่ซักพักลุงก็เดินมาชี้ไม้ชี้มือประมาณว่าเราย่างเนื้อแบบนี้ไม่ได้นะ สุกเกินไปแล้ว โอเคๆ ลุง เอาออกจากกระทะก็ได้ ลุงเดินวนมาดูแลบ่อยมากคงกลัวเราจะย่างเนื้อสุกเกินไปอีก กินไปซักพักพอเริ่มสนิทกัน (ลุงใช้เวลาในการตีสนิทกับพวกเราน้อยมาก 555++ ) ลุงก็ไปหยิบเหล้าบ๊วยที่แกทำเองมาให้ลองกิน อือหื้อออออ อร่อยๆ มาก รสดีมาก นั่งอยู่ 4 คน ลุงให้สองถ้วยเล็กๆ ลุงบอกแกทำเองนะ ไม่ขาย มีแค่นี้ทำไว้กินเองให้ชิมเฉยๆ อ้าว!!! ลุงทำไมทำงี้ จะขอกินอีกก็เกรงใจได้แต่นั่งมองขวดในตู้เย็น
กินข้าวอิ่มแล้วแฟนเรากับน้องที่ทำงานก็ยังรู้สึกว่าไม่พอเบียร์ที่กินไป 2 แก้วที่ร้านยังไม่ระคายความรู้สึก พวกเราเดินออกไปซื้อเบียร์มาอีก 1 แพ็ค พร้อมกับของกินเล่น เดินกลับไปนั่งเล่นกันที่ Common Lounge ชั้น 2 ข้อดีของการพัก Hostel คือเราจะได้เจอคนหลายๆ ชาติ มีทักทายกันบ้าง คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี กินเสร็จก็แยกย้ายกันพักผ่อน พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้า
เราคงมาแต่เช้าไปไม่มีคิวเลยอุตส่าห์รีบมาตั้งแต่ 4.30 น. เลยเดินเล่นถ่ายรูปกันก่อน โล่งๆ ไม่มีคนสนุกสนานกันไป ถ่ายรูปจนอิ่มเอมกันไปแล้ว นั่งรอก็แล้วยังไม่มีใครมาต่อคิว เรากับแฟนก็เริ่มทนไม่ไหว หนาวมากลมก็แรงมาก เอาวะกลับเข้าไป Aero Plaza อีกรอบ (รีบออกมาทำไม 55555++ )
ประมาณตี 5 กว่าๆ เราก็ออกมาต่อคิวอีกรอบ รอบนี้มีพนักงานมาแล้ว ^___^ พนักงานก็จัดสถานที่เตรียมขายตั๋ว ยกป้ายต่างๆ ออกมาวาง เรายืนรอซักพักคนก็เริ่มมาต่อคิวบ้างแล้ว
ตี 5.30 น. JR Office เปิดให้บริการ เราก็เดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์ ยื่นเอกสารการจองที่ปริ้นจากเมล์ (ย้ำ ต้องปริ้นไปด้วย) ให้พนักงาน เค้าก็ยื่นบัตรให้ดูเพราะเราเลือกลายบัตร Iccoca มา และยื่นตั๋ว Haruka ให้เราดูว่าได้เที่ยวเวลา 6.40 น. ต้องไปขึ้นที่ Track No. 4 และแพ็คเก็จตั๋วที่เราจองมาขึ้นได้แค่ Car No. 4 - 6 ที่เป็น Non-Reserve Seat เท่านั้น ตรงไหนว่างก็นั่งได้เลย
เราเดินลงมารอที่ Track No. 4 เดินชื่นชมตู้กดน้ำอยู่สักพัก ก็เริ่มไม่ไหวตรงชานชลาลมแรงมาก อากาศบ้านเราก่อนเดินทางประมาณ 30 องศา เช้านี้ที่เกียวโต 14 องศา แถมลมแบบเปิดพัดลมฮาตาริเบอร์แรงสุดไป อยู่ไหวเหรอ!!! กลับขึ้นมาด้านบนกันอีกรอบเข้าห้องน้ำทำอะไรให้เรียบร้อย เราเห็นคนทยอยเดินลงไปค่อนข้างเยอะแล้ว นึกในใจไม่หนาวกันรึไง
พอใกล้ๆเวลาเราก็กลั้นใจลงไปอีกรอบกลับไปยืนสิงตู้น้ำเหมือนเดิม ระหว่างนี้แฟนเราสังเกตุว่าคนที่ลงมาเยอะๆ นั้นหายไปไหนหมด เลยให้เรารออยู่แถวนี้แล้วไปเดินสำรวจรอบๆ ซะหน่อย ปรากฏว่ามันมีห้อง Waiting Room ที่มีฮีทเตอร์หลบลมหนาวได้ ฮ่าๆๆๆๆๆ (ทำไมไม่เดินดูแต่แรก T^T ทนหนาวอยู่ได้)
เข้าไปนั่งในที่อุ่นๆ สบายๆ ซักพักก็ตามฝูงชนไปต่อคิวรอขึ้นรถ เราโชคดีที่คนไม่เยอไม่งั้นคงต้องยืนตั้งแต่ Osaka ยันเกียวโตแน่นอน หลังจากเก็บกระเป๋าไว้ตรงที่เก็บใกล้ๆ ประตูทางขึ้น เราก็เดินมาหาที่นั่ง ความตั้งใจคือจะชมวิวข้างทางไปจนถึงเกียวโต แต่ความเป็นจริงนั้นคือเพลีย ยั๊งไม่ได้นอน~ ~ (เสียง Youngohm) สุดท้ายก็หลับยาวๆ ไปจนเกือบถึงเกียวโต ลืมตาตื่นมาเห็นซากุระข้างทาง อื้มมมมมมม เราต้องได้เจอกันแน่นอนซากุระจัง ^___^
ถึงสถานีเกียวโตก็เดินตามป้าย Central Exit ไป เพราะเราต้องไปซื้อตั๋ว Kyoto One Day Bus Pass ราคา 500 เยน สำหรับเดินทางในเกียวโตวันนี้ค่ะ ซื้อได้ทั้งจากตู้กดและห้องขายตั๋ว เราเลือกซื้อที่เคาน์เตอร์ในห้องขายตั๋วเพราะอยากได้แผนที่ (อยากได้ทำไม เอามาก็ไม่ได้ดู ดูแผนที่ๆ save ไว้ในมือถือตลอด 5555++ )
หลังจากได้บัสพาสเรียบร้อยแล้ว เราตั้งใจจะเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่พักก่อน เราจะพักกันที่ Backpackers Hostel K's House Kyoto เป็นเวลา 2 คืน จาก Kyoto Station นั่งบัสไป K's House สามารถนั่งรถสาย 17 และ 206 ไปสองป้ายลงที่ Nanajo Kawaramachi แต่เรามองดูแล้วคนต่อคิวขึ้นรถเยอะมาก ทั้งกระเป๋าเราสองคนก็ไม่ใหญ่ขึ้นบัสคงไม่สะดวกนัก เลยตกลงปรงใจว่าเดินค่ะ
เปิด GPS เดินจากสถานีเกียวโตไปได้หลายทางเราเลือกเดินทางหลักเส้นใหญ่ๆ ก่อนเพราะลากกระเป๋าไปด้วย และยังไม่ชินกับเส้นทางจะได้ไม่เสียเวลาเดินผิดเดินถูก จากนั้นก็ลากกระเป๋าผ่านเส้นทางสู่ดวงดาว 950 เมตร ในที่สุดก็ถึงที่พักของเราในคืนนี้
เรามาถึงเช้าเกินไปตอนนี้ยังไม่สามารถเช็คอินเข้าที่พักได้ เราเลยฝากกระเป๋าขอฝากกระเป๋ากับที่พักไว้ก่อน หลังกรอกเอกสารกับที่พักเรียบร้อยแล้ว เค้าก็ถามว่าเราจะกลับเข้าที่พักประมาณกี่โมง เราแจ้งไปว่ากลับมาประมาณ 16.00 น. ฝากกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ออกเที่ยวต่อทันที
ก่อนเดินทางเราค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับการใช้รถเมล์ในเกียวโตมาก ไม่แน่ใจว่าจะลงถูกป้ายมั้ย จะสื่อสารกันยังไง แต่ปรากฏว่าผิดคาดเพราะบนรถเมล์จะมีจอแสดงชื่อสถานี และมีเสียงประกาศชื่อสถานีตลอด จะประกาศทั้งหมด 4 ภาษา (ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อังกฤษ) ทำให้เราใช้บัสได้แบบหมดกังวล ไม่ต้องคอยดู GPS ว่าใกล้ถึงรึยัง แค่จำชื่อป้ายที่จะลงแล้วค่อยฟัง แล้วเตรียมกดกริ่งลง
จุดหมายแรกของเราคือไปร้านเช่ากิโมโน ชื่อร้าน Okamoto Kimono สาขา Kiyomizu Higashiyama ออกจากซอยที่พัก เลี้ยวซ้ายเดินไปตามทาง ข้ามสะพาน Shichijo เพื่อไปขึ้นรถเมล์
วิธีเดินทาง: จากป้าย Nanajo Keihanmae ขึ้นรถเมล์สาย 100 หรือ 206 ไปลงที่ป้าย Kiyomizu-michi
เรามาเริ่มใช้ 1 Day bus pass กัน เราขึ้นสาย 100 ซึ่งเป็นสายที่เหมาจ่าย 230 เยนตลอดสาย เพราะฉนั้นตอนขึ้นที่ประตูหลังจะไม่มีที่เสียบบัตร จะต้องเสียบบัตรตอนลง เครื่องจะอยู่ข้างๆ คนขับเลยค่ะ (หรือบางทีที่คนเยอะมากๆ คนขับจะขอดูแค่ด้านหลังบัตรกรณีที่บัตรเปิดใช้งานแล้ว) ส่วนใครที่ไม่ใช้พาสก็หยอดเหรียญจ่ายไปก่อนได้ ไม่มีเหรียญก็แลกกับคนขับได้เลย หรือจะใช้ IC Card จ่ายเงินก็ได้
นั่งไป 4 ป้ายลงที่ Kiyomizu-michi ร้านอยู่ใกล้ๆ กับป้ายรถเมล์เลยค่ะ เราจองคิวไว้ 9.30 น. ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เลยเดินไปหาอะไรรองท้องที่ Family Mart ก่อน
จัดการมือเช้าเสร็จแล้วก็เดินมาที่ร้าน Okamoto ยื่นใบการจองที่ปริ้นมาเรียบร้อยให้พนักงานดู (ย้ำๆ ต้องปริ้นเท่านั้น) จากนั้นพนักงานก็พูดรั่วๆ เป็นภาษาญี่ปุ่นใส่เรา จนเราต้องบอกเค้าว่าช่วยพูดเป็นภาษาอังกฤษได้มั้ย เราไม่เข้าใจ
เค้าปรับโหมดไว้มากจากพูดญี่ปุ่นรัวๆ ทีนี้มาอังกฤษรัวๆ เค้าก็คอนเฟิร์มรายละเอียดการจองของเราก่อน เราจอง Full-Scale Attire Plan 5,000 เยน + ค่าทำผมอีก 500 เยน และ ของแฟนเราเป็น Men's Kimono Plan 4,000 เยน บวก Tax แล้วเป็นเงิน 10,260 เยน จ่ายเงินกับพนักงานเรียบร้อยแล้ว เค้าก็แจกถุงผ้าคนละใบ พาเราไปเลือกกิโมโน และพร็อพต่างๆ ถ้าเราเลือกไม่ถูกไม่ต้องกลัวค่ะ ขอความช่วยเหลือกับพนักงานได้เลย เค้าจะช่วยเราเลือก อาจจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่เราใช้ภาษากายล้วนๆ ก็รอดค่ะ
ขั้นตอนในการแต่งตัวเราเคยอ่านรีวิวมาแล้วว่าต้องถอดหมดเหลือแต่ชุดชั้นใน ฉนั้นเลยเลยเตรียมตัวมาใส่เสื้อและกางเกงซับในมากันโป๊เรียบร้อย ส่วนคนอื่นๆ เค้าก็แต่ตัวกันไปไม่ได้มีใครสนใจใครอยู่แล้ว หลังจากเราใส่ชุดสีขาวด้านใน 1 ชั้นแล้ว พนักงานก็จะเข้ามาเริ่มแต่งตัวให้ เราก็ยังสงสัยว่าเค้าจะเก็บกิโมโนยังไง เพราะมันยาวมากแต่เค้าก็มีวิธีจัดการให้ออกมาสวยได้ ที่สำคัญคือตอนรัดกิโมโนแต่ละขั้นจะแน่นมาก เราใช้วิธีทำพุงป่องๆ สู้เค้าไว้ พอหายใจปกติมันจะรัดไม่แน่นจนเกินไป
หลังจากแต่งตัวทำผมกันเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาออกเดินทาง วันที่เราไปถึงเกียวโตซากุระในที่สวยๆ ร่วงไปเกือบหมดแล้ว เหลือแค่วัด Ryoanji และวัด Ninnaji ที่ยังคงพอมีให้เห็นอยู่ซึ่งวันนี้แพลนเราไม่ได้ไปจุดนั้น สุดท้ายเราตัดสินใจเปลี่ยนแพลนค่ะ อยากเห็นซากุระเลยต้องเรียงแพลนใหม่ตามนี้
Kinkakuji Temple >> Ryoanji Temple >> Ninnaji Temple
เมื่อตัดสินใจได้ก็เริ่มออกเดินทางนั่งบัสสาย 100 ไปลงที่ Gion จากนั้นต่อสาย 12 ไปลงที่ Kinkakuji-michi มาถึงวัด Kinkakuji Temple แค่เดินผ่านทางเข้าวัดยังไม่ถึงปราสาททองคนก็ยังเยอะมาก เราแวะถ่ายรูปไปตามทางเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อน จากนั้นก็จ่ายเงินค่าเข้าชมสถานที่คนละ 300 เยน
เดินไปตามทางเรื่อยๆ ก็จะเจอกับปราสาททอง จุดนี้ต้องแย่งชิงพื้นที่ถ่ายรูปมาก ด้วยความที่คนที่มาแถวนี้ใส่กิโมโนน้อยมาก เราก็เลยเหมือนของแปลก เดินไปไหนก็มีแต่คนมอง รู้สึกป๊อปเบาๆ 5555+++
หลังจากถ่ายรูปเสร็จเราก็รู้สึกว่าไม่อินกันการเป็นวัดเท่าไหร่ จิตใจเรียกร้องอยากเห็นซากุระ เลยเดินออกมาจะขึ้นรถเมล์ไปวัด Ryoanji ปรากฏว่าคนต่อคิวเยอะมาก คงอีกนานกว่าจะได้ไป เราเลยลองใช้ google วัดระยะทางจากจุดที่เราอยู่ไปวัด Ryoanji ประมาณ 1.6 กิโล จะเดินด้วยชุดกิโมโนก็คงไม่ไหว ไม่เกิน 2 กิโลงั้นนั่งแท็กซี่ก็ได้
ไม่ถึง 10 นาทีเราก็นั่งแท็กซี่มาถึงวัด Ryoanji ค่าเสียหายทั้งสิ้น 770 เยน ถือว่าโอเคประหยัดเวลาไปได้มาก วัด Ryoanji เสียค่าเข้าชมคนละ 500 เยน ที่นี่ข้างน้อยกว่าวัด Kinkakuji ทำให้เราเดินเล่นอยู่ในสวนของวัดได้สบายๆ ซากุระที่นี่เริ่มจะร่วงแล้ว ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แล้ว เราก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็ได้รูปใส่กิโมโนกับซากุระแล้ว ได้มาเห็นก็คุ้มละ
ออกจากวัด Ryoanji เราก็ไปต่อกันที่วัด Ninnaji เราเลือกที่จะเดินเล่นๆ ไปเพราะเหลือเวลานานกว่าจะต้องคืนชุด และการเดินของเราก็ไม่ผิดหวัง ตามบ้านแถวๆ นั้นยังมีต้นซากุระสวยๆ อยู่ เดินมาประมาณ 1.4 km ตาม GPS ก็ถึงวัด ที่นี่คนเยอะมาก เยอะตั้งแต่บางทางเค้า เราเห็นคิวต่อแถวซื้อบัตรเข้าสวนซากุระยาวไปร้อยเมตร โอเคยอม ไม่เข้าก็ได้ ถ่ายรูปเล่นแถวๆ หน้าวัดก็พอแล้ว เข้าไปก็ไม่รู้จะสวยมั้ย เหนื่อยแล้ว หิวแล้ว พอ!!!!
เดินออกมาหน้าวัดฝนตกปรอยๆ กระเป๋ากล้องก็ไม่ได้เอามา ไม่มีที่ให้หลบฝนเลยด้วย บัสที่มาก็เต็มเรียกได้ว่าแน่นเป็นปลากระป๋องเลย เอาไงกันดี เราเลยตัดสินใจว่าจะนั่ง Taxi ไปสถานีที่ใกล้ที่สุดใช้รถไฟเดินทางแทน
วิธีเดินทาง: Taxi >> Hanazono Station ค่าเสียหาย 1,100 เยน >> นั่งรถไฟไปลง Kyoto Station 200 เยน จ่ายด้วยบัตร Icoca
เรานั่งบัสสาย 100 จาก Kyoto Station ไปคืนกิโมโน จากนั้นเราตั้งใจขึ้นรถบัสกลับมาที่พัก แต่เลยป้าย ทำให้เรากลับมาที่ Kyoto Station อีกครั้ง ด้วยความหนาว หิว เหนื่อย เราไม่อยากเสี่ยงขึ้นลงรถบัสผิดป้ายแล้ว เลยเลือกที่จะเดินกลับมาที่พัก ระหว่างเดินไปที่พักตอนเช้าเราจำได้ว่ามีร้าน Sukiya อยู่ตรงหัวมุมถนน รออะไรหละ เข้าไปกินสิ ร้านนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเยอะถึงพนักงานจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เค้ามีเมนูภาษาอังกฤษ เราสองคนก็จิ้มมาคนละเมนู นั่งรอแปปเดียวอาหารก็มาเสิร์ฟ เราว่ามันอร่อยกว่าบ้านเรา (จริงๆ ตอนนี้อะไรๆ ก็อร่อยเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวเลย)
ภาพจาก Google Street View |
กินเสร็จเราก็เดินต่อไปยังที่พัก เรารับกระเป๋าที่ฝากไว้ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 4 ซึ่งเป็นที่กบดาน 2 วันของเราในเกียวโต ห้องพักเป็นห้องแบบเตียงเดี่ยว มีพื้นที่ให้วางกระเป๋าเดินทางสองใบได้สบายๆ มีโต๊ะเขียนหนังสือให้ มีแอร์+ฮีทเตอร์ ไฟในห้องประความสว่างได้ ส่วนห้องน้ำและห้องอาบน้ำเป็นแบบรวม มีสบู่แชมพู ครีมนวด และไดร์เป่าผมให้พร้อม รวมๆ แล้วค่อนข้างสะอาดเลยทีเดียว
จัดของทำอะไรเสร็จเราก็อาบน้ำกลับมานอน กะว่านอนซัก 2 ชั่วโมงค่อยออกไปหาอะไรกินอีกที ตื่นอีกทีตอน 1 ทุ่ม น้องที่รู้จักกันชวนไปหาเนื้อกินร้านใกล้ๆ ที่พัก เราก็ขอตัวไปหาซื้อแผ่นแปะแก้ปวดก่อนแล้วจะตามไป ได้แผ่นแปะยอดฮิตมาแล้วก็แกะแปะเลย ตอนนี้รู้สึกหนาวมาก ฝนก็ตก ลมก็แรง ในใจคิดเรามาทำอะไรที่นี่วะ ทำไมไม่อยู่บ้าน 5555+++ แต่หลังจากที่เราตามน้องไปจนถึงร้านอาหารความคิดเราก็เปลี่ยนไป อาหารเยียวยาทุกอย่างได้
ภาพจาก Google Map |
นั่งๆ กินอยู่ซักพักลุงก็เดินมาชี้ไม้ชี้มือประมาณว่าเราย่างเนื้อแบบนี้ไม่ได้นะ สุกเกินไปแล้ว โอเคๆ ลุง เอาออกจากกระทะก็ได้ ลุงเดินวนมาดูแลบ่อยมากคงกลัวเราจะย่างเนื้อสุกเกินไปอีก กินไปซักพักพอเริ่มสนิทกัน (ลุงใช้เวลาในการตีสนิทกับพวกเราน้อยมาก 555++ ) ลุงก็ไปหยิบเหล้าบ๊วยที่แกทำเองมาให้ลองกิน อือหื้อออออ อร่อยๆ มาก รสดีมาก นั่งอยู่ 4 คน ลุงให้สองถ้วยเล็กๆ ลุงบอกแกทำเองนะ ไม่ขาย มีแค่นี้ทำไว้กินเองให้ชิมเฉยๆ อ้าว!!! ลุงทำไมทำงี้ จะขอกินอีกก็เกรงใจได้แต่นั่งมองขวดในตู้เย็น
กินข้าวอิ่มแล้วแฟนเรากับน้องที่ทำงานก็ยังรู้สึกว่าไม่พอเบียร์ที่กินไป 2 แก้วที่ร้านยังไม่ระคายความรู้สึก พวกเราเดินออกไปซื้อเบียร์มาอีก 1 แพ็ค พร้อมกับของกินเล่น เดินกลับไปนั่งเล่นกันที่ Common Lounge ชั้น 2 ข้อดีของการพัก Hostel คือเราจะได้เจอคนหลายๆ ชาติ มีทักทายกันบ้าง คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี กินเสร็จก็แยกย้ายกันพักผ่อน พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้า
ภาพจาก K's House Kyoto |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น