14 Apr 18
หลังจากกินอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ววันนี้เราตั้งใจจะไป Meiji Shrine (明治神宮, Meiji Jingū) เราตั้งใจว่าช่วงเช้าไปวัดช่วงบ่ายเอากล้องกลับมาเก็บที่พักและไปเดินหาซื้อของ อาหารเช้าของโรงแรมวันนี้มีนัตโตะให้เราลองกิน เห็นใครๆ บอกว่ามันเป็นอาหารบำรุงสมองชั้นดีเสียอย่างเดียวกลิ่นมันค่อนข้างแย่ แต่เรากลับชอบมากตอนแรกก็ไม่กล้ากินลองหาวิธีกินดูเค้าแนะนำกันว่าให้ใส่โชยุกับมัสตาร์ดใช้ตะเกียบคนจนมียางเหนียวเยอะๆ ช่วยเพิ่มรสชาติได้มากทีเดียว
วิธีเดินทาง: Minami-Asagaya >> Shinjuku-Sanchome >> Meiji-Jingumae
ออกจากสถานีชินจูกุเราก็ต้องรีบทำเวลาเพราะตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว ดีที่ฝนหยุดตกแล้วเราสองคนเลยไม่ต้องเดินตากฝน อากาศเย็น เจ็บเท้า หิวข้าว แต่เราก็ยังต้องทนเดินหาของต่อไป กว่าจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการก็สามทุ่มกว่าแล้ว ร้านข้าวที่เราตั้งใจจะไปกินปิดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยความที่ยังไม่หมดหวังลองหาในกูเกิ้ลดูว่ามามีสาขาใกล้ๆ แถวที่เราอยู่อีกมั้ย
วิธีเดินทาง: Minami-Asagaya >> Shinjuku-Sanchome >> Meiji-Jingumae
หลังจากแวะซื้อสตาร์บัคเราเดินออกจากสถานีมานิดนึงก็เจอจะกับสะพานหินหน้าวัด ทางเข้าศาลเจ้ามีคนเอาสุนัขมาเดินเล่นเยอะมาก แต่เราสังเกตเห็นว่าหน้าวัดมีป้ายติดห้ามนำอาหาร น้ำ และสัตว์เลี้ยงเข้าไปภายในบริเวณวัดเราเลยยืนกินน้ำให้เรียบร้อยก่อน
Yuzu Citrus Tea |
ตรงสะพานหินนี้มีผู้ชายมาทำการแสดงเปิดหมวกอยู่สองคน คนแรกใช้มือบังคับตุ๊กตาให้แสดงตามเพลง อีกคนเล่นเครื่องดนตรีซักอย่างอยู่ ดูเพลินๆ ดูดน้ำจนหมดได้เวลาเดินเข้าวัดได้
เดินเข้ามาเราก็เจอกับเสาโทริอิต้นใหญ่มากเราสังเกตว่าที่นี่ไม่ได้ทาสีเสาให้เป็นสีแดงแบบศาลเจ้าอื่นๆ ดูแล้วก็สวยคลาสสิคไปอีกแบบ ทางเข้าสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่มากมายดูสงบเงียบต่างจากทางหน้าวัดที่เราเดินผ่านมาเมื่อกี้พอสมควร
ก่อนถึงทางแยกเข้าไปในวัดเราจะเจอถังสาเกกับถังไวน์เรียงอยู่สองข้างทาง จุดนี้มีคนยืนถ่ายรูปค่อนข้างเยอะแต่ที่เราพบว่าไม่ว่าคนจะยืนถ่ายรูปเยอะแค่ไหน แต่คนที่ทำหน้าที่กวาดใบไม้ก็กวาดต่อไปไม่ได้หยุด ถึงแม้ที่นี่จะมีต้นไม้เยอะใบไม้ร่วงลงมาตลอดเวลาแต่ทำไมถึงยังดูสะอาดไม่รกคงเพราะมีคนคอยดูแลความสะอาดตลอดเวลานี่เอง
เราเดินเข้ามาจนถึงตัวศาลเจ้าเห็นเค้ากำลังจัดพิธีแต่งงานแบบศาสนาชินโตกันพอดีเป็นอะไรที่โชคดีมากไม่ใช่ว่ามาแล้วจะได้เห็นแบบนี้ทุกวัน ดูเป็นพิธีที่เรียบง่ายแต่งดงามมาก
หลังจากไหว้ศาลแล้วเราหาทางออกเพื่อไป Takeshita Street (หันหน้าเข้าหาศาลเจ้า) ทางขวาจะมีจะเป็นทางออกที่คนส่วนใหญ่เลือกเดินเพราะมีร้านขายเครื่องรางและของที่ระลึกตั้งอยู่ เราคิดว่าคนเยอะไม่อยากเบียดกับใครเลยเดินออกทางซ้ายมือสิ่งแรกที่เจอคือห้องน้ำ ก่อนเข้าเราทำใจแล้วว่าอาจจะเป็นห้องน้ำแบบส้วมซึมธรรมดาแต่ผิดคาดค่ะห้องน้ำที่สะอาดมากและไฮเทคมากเพราะใช้มือปัดเซ็นเซอร์ในการกดน้ำไม่ต้องสัมผัส
เดินต่อไปตามป้ายที่เขียนว่า Harajuku ไปเรื่อยๆ ซักพักแฟนเราเริ่มรู้สึกว่าทางนี้ไม่มีคนเดินตามมาเลยดูเป็นเส้นทางเปลี่ยวๆ เลยจะชวนเราเดินย้อนกลับ โชคดีที่มีลุงกับป้าเดินสวนมาพอให้ใจชื้นขึ้นหน่อยว่าเราไม่ได้หลงทาง ในเมื่อเราถือคติธรรมดาโลกไม่จำก็ต้องทำใจเลือกเดินทางที่คนปกติเค้าไม่เดินกัน ดีที่ยังเป็นช่วงสายถ้าเป็นช่วงเย็นๆ ค่ำๆ อาจจะมีคิดบ้างว่าคนจริงรึเปล่า
เดินชมนกชมไม้มาเรื่อยๆ ในที่สุดออกมาโผล่ออกมาทางหน้าวัดกลับเข้าเส้นทางหลักค่ะ เดินออกมาถึงสะพานหินแล้วข้ามไปอีกฝั่ง เลี้ยวซ้ายไปตามทางเรื่อยๆ ก็ถึง Takeshita Street ตรงนี้อย่าได้ถามหาความเงียบสงบแบบเมื่อกี้ไม่หน้าเชื่อว่าห่างกันเพียงแค่ข้ามถนน
มองเข้าไปเห็นสภาพผู้คนแล้วเราคิดว่าตัวเราคงอยู่ที่นี่ไม่ได้นานนัก เป้าหมาของเราในการมาที่นี่คือ "Marion Crapes" ร้านเครปที่ชื่อดังที่เปิดมานานของฮาราจุกุ ฝ่าผู้คนเข้าไปจนเกือบสุดถนนมองดูแถวก็ไม่ได้ยาวมากนัก แต่ถัดจากร้านไปมีคนยืนกินเครปเพียบคาดว่าจะมาตามรีวิวเหมือนกัน ส่วนตัวเรามีความเฉยๆ กับรสชาติของเครปร้านนี้มาก แป้งนิ่มคล้ายๆ เครปเย็นที่ขายในบ้านเรา ตัววิปครีมมีความมันรสชาติไม่หวาน หน้าที่เราเลือกมาเป็นเบอร์รี่ จะว่าเป็นเครปเย็นตัวแป้งตัวไส้ก็ไม่เย็นจะว่าเป็นเครปร้อนตัวแป้งก็ไม่ร้อน โดยส่วนตัวเราคิดว่าถ้าคนที่ไม่ได้ชอบไม่กินก็ได้
แวะดูของตามทางเข้าร้านนั้นออกร้านนี้รู้สึกว่าฝนเริ่มจะปรอยๆ เราเลยคุยกับแฟนว่าเอากล้องไปเก็บกันดีกว่าแล้วค่อยออกมาซื้อของกันอีกที หลังจากเก็บของเรียบร้อยเราตัดสินใจจะแวะไป Kichijoji หาซื้อของกันนิดหน่อย
เดินข้ามถนนจากที่พักของเราเพื่อไปสถานี JR Asagya ประมาณ 900 เมตร เราเริ่มได้กลิ่นอาหารความหิวก็มา มองขวามือไปเห็นทางเข้าคล้ายๆ ตลาดเลยแวะเข้าไปดู เราลืมไปเลยว่าแถวที่พักมีตลาดอยู่ด้วย ที่นี่ผลไม้ ขนม อาหารปรุงสำเร็จราคาค่อนข้างถูก ได้บรรยากาศแบบโลคอลมากๆ เราสองคนตัดสินใจว่าจะลองกินอุด้งร้านนึงดูลักษณะเป็นร้านแฟรนไชส์ หลังจากยืนสังเกตวิธีสั่งอาหารอยู่หน้าร้านซักพักแล้ว เราสองคนก็เดินเข้ามาหยิบถาดตรงเค้าเตอร์ ยื่นรูปเมนูที่ถ่ายไว้หน้าร้านให้พนักงานดู จากนั้นก็เลือกเทมปุระที่จะอยากจะกินใส่จาน จากนั้นรับอุด้งที่สั่งไว้และเดินไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์เราก็เริ่มมองหาที่นั่งกินได้เลย เราสั่งเมนูที่คล้ายๆ สลัดน้ำมันงาใส่เส้นอุด้งลงไปด้วย รสชาติดีมากกินแล้วสดชื่น
วิธีเดินทาง: JR Asagaya > JR Kichijoji
เราจำไม่ได้ว่าออกทางออกไหนเราแวะไปโยโดบาชิกับดองกี้เสร็จก็ใกล้มืดแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ของที่ต้องการ เราแยกกันกับแฟนที่ร้านดองกี้ความซวยมาเยือนเพราะเน็ตเริ่มช้าสัญญาน GPS เริ่มไม่คงที่เราเดินวนไปวนมานานมากกว่าจะเจอแฟนเรา สรุปตอนแรกตั้งใจจะหาของกินแถวนี้ก็อดไปเพราะของที่จะซื้อแถวนี้ไม่มี แฟนเราเลยขอกลับไปที่ชินจูกุอีกครั้งเพราะคิดว่าที่นั่นคงจะมี
วิธีเดินทาง: Kichijoji >> Shinjuku
ออกจากสถานีชินจูกุเราก็ต้องรีบทำเวลาเพราะตอนนี้ทุ่มกว่าแล้ว ดีที่ฝนหยุดตกแล้วเราสองคนเลยไม่ต้องเดินตากฝน อากาศเย็น เจ็บเท้า หิวข้าว แต่เราก็ยังต้องทนเดินหาของต่อไป กว่าจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการก็สามทุ่มกว่าแล้ว ร้านข้าวที่เราตั้งใจจะไปกินปิดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยความที่ยังไม่หมดหวังลองหาในกูเกิ้ลดูว่ามามีสาขาใกล้ๆ แถวที่เราอยู่อีกมั้ย
เทพีแห่งโชคยังอยู่กับเรามีอีกหนึ่งสาขาที่ห้าง Keio Mall ยังไม่ปิดและอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เราอยู่นัก เดินลงไปที่ชั้น B1F มองหาร้านที่มีชื่อว่า "Komeraku" มีคิวอยู่หนึ่งคิวเรากับแฟนก็ไปยืนต่อคิว พนักงานหยิบเมนูภาษาอังกฤษมาให้เราเลือกระหว่างรอ รอไม่ถึง 10 นาทีเราก็ได้เข้ามาในร้านสั่งอาหารไปคนละเมนู ร้านค่อนข้างเล็กนั่งได้ประมาณ 20-30 คนเท่านั้น คนส่วนใหญ่เลยเน้นรีบกินรีบไป ไม่นานอหารของเราก็มา
ร้านโกะเมราคุจะขายอาหารประเภทโอฉะสึเกะ (Ochazuke) เป็นการเอาข้าวหน้าต่างๆ มากินกับน้ำชา โดยตักข้าวแบ่งใส่ชามเล็ก ใส่เครื่องปรุงต่างๆ เช่น ซอส ขิง ผงปลาตากแห้ง งา สาหร่าย ฯลฯ แล้วเทน้ำชาใส่ค่ะ เราชอบร้านนี้มากทูน่าที่อัดมาเต็มชามสดหวานอร่อยฟินระดับ 10 กันไปเลย กินเข้าไปร่างกายอบอุ่นอารมณ์ดีแล้วก็กลับเข้าที่พักนอนได้ค่ะ
พรุ่งนี้เราเดินทางกลับด้วยสายการบิน Malaysia Airline ต้องไปต่อเครื่องที่มาเลเซียกลับไทยอีกทีนึง นี่เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางออกนอกประเทศกับสายการบินอื่นที่ไม่ใช่สายการบินหางแดง ปัญหาการเช็คอินออนไลน์ของเราคือเช็คอินล่วงหน้าได้แค่ 48 ชั่วโมงเท่านั้น เราหาข้อมูลไม่ได้ว่าต้องปริ้นบอร์ดดิ้งพาสเพื่อใช้ที่สนามบินหรือใช้เป็น E-ticket ได้เลย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเราเลยลองทำเช็คอินผ่านโมบายแอพพลิเคชั่นดูปรากฏว่ามีเมล์ส่งบอร์ดิ้งพาสมาให้และระบุให้ปริ้นไปด้วย ยังดีที่ก่อนหน้าเราเดินทางได้เข้าไปดูคลิปการใช้งานเครื่องปริ้นในร้านสะดวกซื้อที่ญี่ปุ่นมาแล้ว
วิธีใช้เครื่องปริ้นจาก Youtube Channel : Nui Ka Ton
ตอนแรกเราตั้งใจว่าเดี๋ยวใช้แฟลชไดร์ฟ OTG ก็อปบอร์ดดิ้งพาสออกจาก Samsung Galaxy Note 8 มาปริ้น ปรากฏว่าเราเสียบแฟลชไดร์ฟกับหัวแปลงเป็น USB Type C แล้ว Note 8 หาไม่เจอ (อยู่บ้านเคยสนใจจะลองมาตอนนี้เนี่ยนะ มิควร) เราเลยลองปริ้นผ่านบลูทูธแต่มันต้องโหลดแอพพลิเคชั่นตามวิธีที่เครื่องแจ้งอยู่บนหน้าจอ แอพของเครื่องปริ้นน่าจะซัพพอร์ตแค่ไอดีที่ลงทะเบียนในญี่ปุ่นเท่านั้น ทำให้เราไม่สามารถโหลดได้ ยืนคิดหาทางออกอยู่นานสุดท้ายเรานึกได้ว่ามือถือเราถอดเมมได้ค่ะ ถอดเมมออกมาเสียบช่อง Micro SD เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ หยอดเหรียญ เลือกเอกสารที่จะปริ้น เลือกขนาดกระดาษปริ้นเป็นขาวดำ พอเห็นเอกสารออกมาจากเครื่องได้นี่โล่งเลยค่ะ ค่าเสียหาย 10 เยนสำหรับปริ้น A4 ขาวดำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น