11 Apr 18
วันนี้เราก็ตื่นแต่เช้าเช่นเคย (ตั้งแต่มาถึงจนวันนี้เราตื่นประมาณตีสี่ตีห้าทุกวัน) หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเราก็แบกเป้คนละใบลงมาเช็คเอ้าท์ หลังจากคืนกุญแจเราพนักงานก็ขอโทษเราอีกครั้งที่เค้าสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ (เมื่อวานก็ขอโทษกันใหญ่วันนี้เจอหน้าก็ยังไม่ได้หยุด) และบอกให้เราว่ากระเป๋าจะส่งไปถึงที่พักเราที่โตเกียวแน่นอนไม่ต้องเป็นห่วง (ทั้งหมดทั้งมวลเค้าพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่ท่าทางทำให้เราสามารถเข้าใจได้)
เดินออกจากโรงแรมไปสถานีนัมบะตอนตีห้าครึ่ง ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เราเดินเข้าไป Exit E9 ซึ่งใกล้โรงแรมเราที่สุด ขึ้น Osaka Subway จาก Namba Station ไปลง Shin-Osaka เพื่อไปนั่งชินคันเซ็นกันค่ะ
หลังจากมาลงที่สถานี Shin-Osaka แล้ว ให้เดินตามป้าย JR หรือ ป้าย Shinkansen ไปเรื่อยๆ เราจะเจอกับทางเข้าไปชานชลาค่ะ จุดนี้เราต้องเอาบัตรที่จองไว้เมื่อวานมาใช้ เพื่อเดินทางจาก Shin-Osaka Stationไปจนถึง Otsuki Station
แต่ปัญหาคือเมื่อวานพนักงานไม่ได้บอกเราว่าตั๋วแต่ละใบต้องใช้ยังไง ต้องเสียบใบไหนก่อนใบไหนหลัง เราเลยเอาตั๋วทั้งหมด 3 ใบออกมาดูแต่ก็ยังงงอยู่ดีว่าต้องสอบใบไหนเข้าเครื่องตรวจตั๋ว เราตั้งใจจะเดินไปถามพนักงานที่ห้องขายตั๋วพอดีเห็นมีป้ายติดไว้ว่าให้สอดตัวเข้าพร้อมกันสองใบ เราเลยเทียบตั๋วเรากับตัวอย่างว่าต้องใช้ใบไหนก่อน
หน้าตาขอบบัตรทั้ง 3 ใบ |
วิธีการใช้ตั๋ว
- ตั๋ว B เป็นตั๋วที่ใช้เดินทางตั้งแต่ Shin-Osaka Station ไปจนถึง Otsuki Station
- ตั๋ว A เป็นตั๋ว Reserve Seat ของชินคันเซ็นที่เราจะนั่งไปสถานี Shin-Yokohama
>> สอดตั๋ว A + B เข้าเครื่องอัตโนมัติพร้อมกันที่สถานี Shin-Osaka
เรียบร้อยแล้วเราก็หาซื้อเบนโตะไปกินบนรถไฟคนละกล่อง ทำตัวให้กลมกลืนสถานที่สุดๆ ใกล้ถึงเวลาป้ายในสถานีก็ขึ้นว่าเราต้องไปรอรถไฟที่ Track No. 27 เดินไปหาที่นั่งรถเพราะยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่ารถจะมา เราเดินไปด้านหน้าเพราะอยากถ่ายรูปกับรถไฟชินคันเซ็นเป็นที่ระลึก
พอรถไฟมาเราก็เดินไปที่ Car 13 หาที่นั่ง 6B และ 6C ซึ่งเป็นที่ๆ เราได้จองไว้เรียบร้อย ปรากฏว่าความฝันของเราพังทลาย เรามากันสองคนแต่พนักงานจองเบาะสามคนให้เรานั่งแถมไม่ติดหน้าต่าง (แอบเสียใจ ครั้งหน้าคงต้องรีเควสนั่งที่สำหรับสองคน)
เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วก็ต้องนั่งยาวๆ 2 ชั่วโมง 14 นาที ขึ้นมาตอนแรกกะจะกินข้าวกล่องแบบที่จินตนาการไว้ แต่เราตื่นเช้าติดๆ กันมาหลายวันแล้วเลยนอนกันยาวเลยค่ะ ตื่นมาอีกทีก็ใกล้ถึงโยโกฮาม่าแล้ว เลยทำได้แค่แกะซาบะซูชิกินรองท้องกันก่อน รสชาติมันสุดยอดมากเสียดายซื้อมาแค่ห่อเดียว
พอมาถึง Shin-Yokohama Station ให้มองหาป้าย Yokohama line สายสีเขียวเข้ม เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เพื่อเปลี่ยนสายรถไฟไปยัง Hachioji Station
- เอาตั๋ว A + B สอดเข้าเครื่องตรวจตั๋วตามเดิม
- เครื่องตรวจตั๋วจะคืนบัตร B มาให้เราใช้เดินทางต่อไป (ไม่ต้องตกใจ)
นั่งไปถึงสถานี Hachimoto รถไฟจอดอยู่ประมาณ 5 นาที เราก็ไม่ได้เอะใจจนรถไฟวิ่งถอยหลังกลับ เรารีบเรียกแฟนให้ลงสถานีถัดไปทันที เราลงกันที่สถานี Sagamihara วิ่งขึ้นบรรไดทางเชื่อมมาอีกฝั่งของชานชลา เราดูเวลาแล้วคิดว่าตกรถรอบถัดไปแน่นอน แต่น้องที่รู้จักกันบอกว่ารถขบวนถัดไป Delay อาจจะมีลุ้น เรารีบเดินไปดูป้ายหาสาเหตุว่าทำไมรถถึงย้อนกลับ เพราะเรานั่งผิดสายเรานั่งสายที่มาแค่ถึง Hachimoto แล้วจะย้อนกลับ
พอเราจับจุดได้ว่าต้องขึ้นสาย for Hachioji เราก็ไล่ดูตารางอีก 2 นาทีรถจะมา ระหว่างนี้ทุกคนก็ช่วยกันดูสถานะของรถไฟคันถัดไปไว้ ส่วนเราหาสถานีต่อไปต้องไปชานชลาที่เท่าไหร่ โดดขึ้นรถไฟได้พวกเราก็ลุ้นกันตลอดเวลาจะทันมั้ยๆ เราบอกทุกว่าออกจากรถไฟให้ช่วยกันหา ป้ายชานชลาที่ 5 นะ Track No. 5 นะ โอเคกระจายข่าวเรียบร้อย รถไฟเปิดประตูปุ๊บเรา 4 คนก็วิ่งเลยค่ะ ถึงพอถึงชานชลาได้เราพุ่งตรงไปหาเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดทันที เอาตั๋วให้ดูว่าเรามาทันมั้ย เค้าชี้บอกให้เราไปเข้าแถวได้ พอรู้ว่าทันรถรอบต่อไปแล้วแน่ๆ เราก็เริ่มหิวมองไปที่ตู้กดเจอว่ามีซุปข้าวโพดขายพอดี
ยังไม่ทันจะได้เปิดกินเสียงรถไฟมา มองแล้วว่าใช่รถ Kaiji 101 แน่แล้ว เราก็มองดูตู้ที่เราจองไว้อยู่ตรงไหน เนื่องจากสถานี Hachioji มีป้ายที่พื้นหลายป้ายเราเลยงงว่าต้องต่อคิวขึ้นตรงไหน สุดท้ายเราต่อคิวผิดที่ทำให้ต้องวิ่งหา Car 9 ที่จองไว้ น้องที่ทำงานเราตะโกนมาว่าพี่ๆๆๆ ขึ้นก่อนๆ เดี๋ยวประตูปิด เรากับแฟนเลยโดดขึ้น Car No. 6 เดินไปอีก 3 ตู้ก็ถึงเป้าหมายของเรา ที่นั่งของเรากับแฟนคือ 2A และ 2B เราสองคนนั่งคุยกันว่าเกือบไปแล้วเฉียดไปนิดเดียว นั่ง 30 นาที ถึงสถานี Otsuki
สำหรับจองรถและศึกษากฏจราจรเบื้องต้น >> https://rent.toyota.co.jp/th/drive/rules.html
คุยกันซักพักรถเราก็พร้อมพนักงานก็ออกมาอธิบายวิธีการใช้งานรถเบื้องต้น บอกที่เปิดฝาถังน้ำมันเพราะขากลับเราต้องเติมน้ำมันรถกลับมาคืนเต็มถัง ระหว่างนี้เราก็ถ่ายวีดีโอรอบๆ รถไว้เป็นหลักฐานว่าไม่มีรอยขูดขีดอะไร
รับรถเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางไปหาอะไรกิน อาหารท้องถิ่นของที่นี่เรียกว่า Hoto เส้นจะคล้ายๆ อุด้ง ใส่มาในน้ำซุปมิโสะกับผักตามฤดูกาลในท้องถิ่น เราขับรถไปกันที่ร้าน "Kosaku Hoto Kosaku" ด้านนอกมีรถจอดไม่เยอะเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะตอนนี้บ่ายโมงแล้ว แต่พอเราเปิดประตูเข้าไปข้างในกันเท่านั้นแหละ OMG!!! คนมาจากไหนเยอะแยะ ถอดรองเท้าเก็บเรียบร้อยเราก็เดินมาลงชื่อเข้าคิว ปรากฏว่ายังเขียนชื่อไม่เสร็จเลยโต๊ะวางพอดี 5555+++
พนักงานคงรู้แล้วว่าเรา 4 คนต่างด้าวแน่นอน ยื่นเมนูภาษาอังกฤษให้ทันทีเราสั่งกันไปคนละ 1 เมนู ระหว่างนั่งรพอเราก็ยังคุยกันขำๆ ถึงเรื่องที่เกือบตกรถไฟ รอไม่นานพนักงานก็ค่อยๆ ยกอาหารมาเสริฟทีละคน
- ระหว่างทาง Hachioji จนถึง Otuski ถ้ามีเจ้าหน้าทีมาเดินขอตรวจตั๋ว ให้ยื่นตั๋ว B + C ให้ไปเลย
- ตั๋ว C เป็นตัว Reserve Seat สำหรับ รถไฟ Limited Express KAIJI ขบวน 101
- ออกจากสถานี Otsuki ให้สอดตั๋ว B + C เข้าไป เราจะได้ตั๋ว B กลับมาแค่ใบเดียว
ออกจาก สถานี JR Otsuki เดินไปตามป้าย Fujikyu Railway เพื่อไป Kawaguchiko มาถึงตรงนี้เราก็งงว่าตั๋วที่เหลืออยู่จะเอาไปทำอะไร ให้เก็บไว้เป็นที่ระลึกรึป่าว เราไปต่อคิวซื้อตั๋วรถไฟเพราะคิดว่าที่นี่ยังใช้บัตร IC Card ไม่ได้ แต่น้องๆ กับแฟนเราเดินมาเรียกบอกว่าใช้ IC Card ได้นะออกมาเติมเงินเร็วไม่ต้องต่อคิวแล้ว
เติมเงินเรียบร้อยเราก็ยื่น IC Card ไปแตะ จุดนี้พนักงานขอตั๋วของเราคืนด้วย ตั๋ว B ที่เราคิดว่าให้เป็นที่ระลึกก็โดนยึดไปที่จุดนี้ค่ะ เนื่องจากรถที่เรานั่งเป็นรถ Local จอดทุกสถานีใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงสถานีคาวากุจิโกะ ระหว่างทางเราก็เห็นซากุระบานตามทางค่อนข้างเยอะ ที่นี่ Full Bloom เมื่อวานมันยังดูสวยอยู่เราตื่นเต้นมาก ซักพักก็เห็นฟูจิซังอยู่รางๆ มีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ ลองเช็คสภาพอากาศดูแล้วช่วงบ่ายนี้ฝนตกตลอดด้วย T^T
เที่ยงเราเดินทางถึงสถานีคาวากุจิโกะพอดี เราตกลงกันว่าจะยังไม่แวะหาอะไรกินกันแต่จะไปเอารถที่จองไว้เลย เดินออกจากสถานีไปทางขวา เดินเลี้ยวขวาไปตามทางเรื่อยๆ จะเห็นปั๊มน้ำมัน ถัดไปเป็นร้านเช่ารถ Toyota Rent a Car เราทำการจองออนไลน์มาเรียบร้อยแล้วค่ะ
ภาพจาก Google Map |
ภาพจาก Google Map |
การเลือกรถเหมือนเค้าจะแบ่งตามขนาดของเครื่องยนต์ไม่ได้แบ่งตามรุ่น แต่หากเราต้องการระบุรุ่น สามารถทำได้หลังทำการจองเรียบร้อยแล้วค่ะ ตรงนี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งเราเลือกแบบ P2 ไม่ระบุรุ่นรถ และซื้อประกันทุกรูปแบบที่เค้ามีขาย เพื่อกรณีเกิดอุบัติเหตุจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล (หากจะระบุรุ่นจะต้องโทรหรืออีเมล์ไปอีกครั้งหลังทำการจองตรงนี้ต้องเสียเงินเพิ่ม)
เรากับแฟนเดินเข้าไปที่เค้าเตอร์ พนักงานพยายามช่วยเหลือดีมาก ตั้งแต่การกรอกเอกสาร ทำความเข้าใจกับกฏข้อบังคับในการขับขี่ อธิบายพวกเราทั้งภาษาอังกฤษและภาษากายให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น นอกจากกฏพื้นฐานแล้ว เค้าก็ถามเราว่าวันนี้จะไปเที่ยวกันที่ไหน เราก็บอกไปว่าหาอะไรกินก่อนจากนั้นเราจะไป Saiko Iyashi no Sato Nemba เค้ารีบบอกเราไปแถวนี้มีสัตว์ป่าเยอะให้ระวังอุบัติเหตุ ถ้าเราเจอกวางควรหยุดรถ และมองซ้ายมองขวาเผื่อมีกวางตัวอื่นๆ อีก มันชอบมากันทีละหลายๆ ตัว
สำหรับจองรถและศึกษากฏจราจรเบื้องต้น >> https://rent.toyota.co.jp/th/drive/rules.html
คุยกันซักพักรถเราก็พร้อมพนักงานก็ออกมาอธิบายวิธีการใช้งานรถเบื้องต้น บอกที่เปิดฝาถังน้ำมันเพราะขากลับเราต้องเติมน้ำมันรถกลับมาคืนเต็มถัง ระหว่างนี้เราก็ถ่ายวีดีโอรอบๆ รถไว้เป็นหลักฐานว่าไม่มีรอยขูดขีดอะไร
รับรถเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางไปหาอะไรกิน อาหารท้องถิ่นของที่นี่เรียกว่า Hoto เส้นจะคล้ายๆ อุด้ง ใส่มาในน้ำซุปมิโสะกับผักตามฤดูกาลในท้องถิ่น เราขับรถไปกันที่ร้าน "Kosaku Hoto Kosaku" ด้านนอกมีรถจอดไม่เยอะเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะตอนนี้บ่ายโมงแล้ว แต่พอเราเปิดประตูเข้าไปข้างในกันเท่านั้นแหละ OMG!!! คนมาจากไหนเยอะแยะ ถอดรองเท้าเก็บเรียบร้อยเราก็เดินมาลงชื่อเข้าคิว ปรากฏว่ายังเขียนชื่อไม่เสร็จเลยโต๊ะวางพอดี 5555+++
พนักงานคงรู้แล้วว่าเรา 4 คนต่างด้าวแน่นอน ยื่นเมนูภาษาอังกฤษให้ทันทีเราสั่งกันไปคนละ 1 เมนู ระหว่างนั่งรพอเราก็ยังคุยกันขำๆ ถึงเรื่องที่เกือบตกรถไฟ รอไม่นานพนักงานก็ค่อยๆ ยกอาหารมาเสริฟทีละคน
(หลายๆ คนที่ติดตามมาตั้งแต่แรกคงงงๆ ไหนบอกว่ามากับแฟน 2 คน แล้วน้องๆ มาจากไหน 5555++ เรากับน้องที่ทำงานเดินทางไปเที่ยวช่วงเดียวกัน เมืองเดียวกัน พักที่เดียวกันเกือบทุกวัน แต่เราไม่ได้เที่ยวด้วยกัน ต่างคนต่างมีที่ๆ อยากไปไม่เหมือนกัน เราอาจจะมีนัดกันหาอะไรกินตอนเย็นบ้างเป็นบางวัน แต่ที่คาวากุจิโกะนี้ เรามาขอแบ่งที่พักน้องเค้านอนค่ะ เพราะตอนแรกเราตั้งใจว่าจะไม่ค้างเดินทางจากโตเกียวแบบไปเช้าเย็นกลับเอา)
แฟนเราสั่งเป็นเซ็ตที่มีโฮโต เนื้อม้า ผักดอง และสาหร่ายคลุกน้ำซอสอะไรซักอย่าง โฮโตอร่อยกว่าที่เราคิดไว้ เนื้อมาก็โอเคแปลกๆ ดี ทีเด็ดสุดอยู่ที่สาหร่ายคะ รสชาติมันสดชื่นหอมกลิ่นเลมอนอ่อนๆ เปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ ส่วนเราสั่งข้าวหน้ากุ้งเทมปุระคนชอบของทอดอย่างเรากินไปฟินไป กุ้งชิ้นใหญ่ๆ เด้งๆ เคลือบด้วยแป้งกรอบบางๆ ไม่อมน้ำมัน
กินอิ่มเราก็แยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน เรากับแฟนเลือกที่จะไป Saiko Iyashi no Sato Nemba ขับรถกันมาซักพักฝนเริ่มตกเบาๆ พอถึงจุดหมายเราออกไปยืนอยู่นอกรถได้แบบนึง บอกแฟนว่าเข้าไปรอในรถดีกว่า รอฝนหยุดก่อนแล้วค่อยออกมาเดินเล่นอากาศแบบนี้ไปตรงจุดอื่นที่แพลนไว้คงไม่เห็นอะไรเหมือนกัน เราสองคนหลับอยู่ในรถประมาณครึ่งชั่วโมงได้ แฟนเราบอกว่ากางร่มไปเดินดูกันดีกว่ามันคงตกแบบนี้ตลอดทั้งวัน
เดินกางร่มไปซื้อบัตรตรงทางเข้าคนละ 500 เยน จากนั้นเราก็เริ่มทำการสำรวจ Sato Nemba ซากุระยังไม่บานดอกตูมๆ เพียบ จริงๆ มันก็แทบไม่มีอะไรให้ดูเลยเพราะเกือบทุกร้านปิด มีคนเดินเล่นอยู่ไม่ถึง 10 คน ฟูจิซังก็ซ่อนตัวอยู่หลังเมฆหมอก แต่ที่นี่ให้บรรยากาศแบบหุบเขาล้อมรอบหมู่บ้านเล็กๆ คนไม่พลุกพล่าน ถ้าฝนไม่ตกซะหน่อยเราว่ามันคงจะสวยกว่านี้
ออกจาก Sato Nemba เราก็ไลน์ถามน้องว่าถึงบ้านรึยัง น้องบอกเราว่าอยู่บ้านแล้วเดี๋ยวออกไปหาอะไรกินพร้อมกัน ส่วนเราจะแวะไปวัด Fujiyoshida Sengen Shrine ก่อน เราใส่ Map Code ของศาลเจ้าไปที่ GPS ในรถตามที่ได้รับโบว์ชัวร์จากโตโยต้า
เราขับผ่านประตูวัดไปเราบอกแฟนว่าเลยแล้วนะ แฟนบอก GPS ยังไม่ถึงเลยตามนี้ไปก่อน ปรากฏว่ามันไปจอดอยู่ลานกว้างหน้าร้านอะไรซักอย่าง ที่มีสวนซากุระบานเต็มไปหมดเรากับแฟนเลยไปถามว่าวัดอยู่ตรงไหน และจะได้ถ่ายรูปแถวๆ นี้ด้วยได้มั้ย เค้าบอกว่าตรงนี้เป็นทางเข้าด้านข้างของวัดบอกให้เราเดินข้ามสะพานไปก็เป็นเขตวัดแล้ว
ถ่ายรูปกับซากุระวนไป เพราะเราหงอยมาตั้งแต่เกียวโตแล้วคิดว่าคงได้เห็นแค่ซากุระเฉาๆ พอมาเจอ Full Bloom แบบนี้ปลื้มเลยค่ะ ระยะทางเดินเข้าวันไม่ไกลเลยประมาณ 100 เมตร แต่เราใช้เวลาถ่ายรูปกันค่อนข้างนานทำให้ศาลเจ้าด้านในปิดก่อน (เปิด 9.00 - 16.30) แต่แค่บรรยากาศรอบๆ เราก็ฟินแล้วค่ะ ต้นสนใหญ่ๆ ซากุระบานเพียบ ต้นมอสตามโขดหิว บันไดหิน เราไม่ได้เข้าไปในตัวศาลเจ้าแต่สามารถไหว้อยู่ด้านนอกได้ ตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจจะมาวัดนี้แต่เห็น Keita (W-inds.) ลงรูปไว้ใน IG เราก็พยายามหาว่ามันคือที่ไหนแล้วก็มาตามรอยค่ะ
ออกจากวัดเราก็ยังไม่ได้กลับบ้านเหมือนที่บอกน้องไว้ ตอนขับรถมาเราเห็นมี Daiso ใหญ่มากตั้งอยู่ เลยคุยกันว่าถ้าขากลับผ่านเราจะแวะ และเราก็ได้ผ่านกลับมาทางเดิม มีของหลายอย่างมากๆ ที่น่าโดน เดินดูจนทั่วแล้วเราก็เดินทางไปยังที่พักในคืนนี้ค่ะ
ขับรถข้ามสะพานทะเลสาปคาวากุจิไปฝั่ง Nagasaki Park พอข้ามฝั่งมาได้เราเห็นแนวซากุระยืนรอต้อนรับเราอย่างเบิกบาน ที่พักของเราในคืนนี้คือ Cottage Pastorale เป็นบ้านสองชั้นสไตล์ตะวันตกมีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบ โทรทัศน์จอแบน มีห้องครัวพร้อมไมโครเวฟและตู้เย็น ห้องน้ำส่วนตัวมีรองเท้าแตะและเครื่องใช้ในห้องน้ำฟรี รวมถึงผ้าขนหนูและที่นอนเป็นแบบฝูก
เรารีบขับรถจอดในที่พักและเก็บของเข้าบ้าน จากนั้นชวนกันเดินออกมาหน้าบ้านเพื่อถ่ายรูปซากุระตรงจุดชมวิวที่ 19 ลมจะพัดแรงแค่ไหนก็ไม่กลัว ฝนตกตกแค่ไหนก็ตกมา ตอนนี้เราก็ลังชื่นชมบรรยากาศซากุระอยู่ วันนี้มีการเป็น Light Up เป็นวันแรก เนื่องจากปีนี้ซากุระบานเร็วเลยเลื่อนมาให้ไวขึ้น
เกือบๆ สองทุ่มพวกเราขับรถออกไปซื้องของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ที่พัก เผื่อซื้อของกลับมาทำ กลับถึงบ้านเราก็แบ่งหน้าทีกันคนนึงทำกับข้าว คนนึงเอาอาหารออกมาอุ่น คนนึงจัดโต๊ะ เรียบร้อยแล้วเราก็นั่งคุยกันถึงการเที่ยวของพวกเราหลายๆ วันที่ผ่านมา เที่ยงคืนเราทำความสะอาดเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไปนอน
แฟนเราสั่งเป็นเซ็ตที่มีโฮโต เนื้อม้า ผักดอง และสาหร่ายคลุกน้ำซอสอะไรซักอย่าง โฮโตอร่อยกว่าที่เราคิดไว้ เนื้อมาก็โอเคแปลกๆ ดี ทีเด็ดสุดอยู่ที่สาหร่ายคะ รสชาติมันสดชื่นหอมกลิ่นเลมอนอ่อนๆ เปรี้ยวนิดๆ หวานหน่อยๆ ส่วนเราสั่งข้าวหน้ากุ้งเทมปุระคนชอบของทอดอย่างเรากินไปฟินไป กุ้งชิ้นใหญ่ๆ เด้งๆ เคลือบด้วยแป้งกรอบบางๆ ไม่อมน้ำมัน
กินอิ่มเราก็แยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน เรากับแฟนเลือกที่จะไป Saiko Iyashi no Sato Nemba ขับรถกันมาซักพักฝนเริ่มตกเบาๆ พอถึงจุดหมายเราออกไปยืนอยู่นอกรถได้แบบนึง บอกแฟนว่าเข้าไปรอในรถดีกว่า รอฝนหยุดก่อนแล้วค่อยออกมาเดินเล่นอากาศแบบนี้ไปตรงจุดอื่นที่แพลนไว้คงไม่เห็นอะไรเหมือนกัน เราสองคนหลับอยู่ในรถประมาณครึ่งชั่วโมงได้ แฟนเราบอกว่ากางร่มไปเดินดูกันดีกว่ามันคงตกแบบนี้ตลอดทั้งวัน
เดินกางร่มไปซื้อบัตรตรงทางเข้าคนละ 500 เยน จากนั้นเราก็เริ่มทำการสำรวจ Sato Nemba ซากุระยังไม่บานดอกตูมๆ เพียบ จริงๆ มันก็แทบไม่มีอะไรให้ดูเลยเพราะเกือบทุกร้านปิด มีคนเดินเล่นอยู่ไม่ถึง 10 คน ฟูจิซังก็ซ่อนตัวอยู่หลังเมฆหมอก แต่ที่นี่ให้บรรยากาศแบบหุบเขาล้อมรอบหมู่บ้านเล็กๆ คนไม่พลุกพล่าน ถ้าฝนไม่ตกซะหน่อยเราว่ามันคงจะสวยกว่านี้
ออกจาก Sato Nemba เราก็ไลน์ถามน้องว่าถึงบ้านรึยัง น้องบอกเราว่าอยู่บ้านแล้วเดี๋ยวออกไปหาอะไรกินพร้อมกัน ส่วนเราจะแวะไปวัด Fujiyoshida Sengen Shrine ก่อน เราใส่ Map Code ของศาลเจ้าไปที่ GPS ในรถตามที่ได้รับโบว์ชัวร์จากโตโยต้า
เราขับผ่านประตูวัดไปเราบอกแฟนว่าเลยแล้วนะ แฟนบอก GPS ยังไม่ถึงเลยตามนี้ไปก่อน ปรากฏว่ามันไปจอดอยู่ลานกว้างหน้าร้านอะไรซักอย่าง ที่มีสวนซากุระบานเต็มไปหมดเรากับแฟนเลยไปถามว่าวัดอยู่ตรงไหน และจะได้ถ่ายรูปแถวๆ นี้ด้วยได้มั้ย เค้าบอกว่าตรงนี้เป็นทางเข้าด้านข้างของวัดบอกให้เราเดินข้ามสะพานไปก็เป็นเขตวัดแล้ว
ออกจากวัดเราก็ยังไม่ได้กลับบ้านเหมือนที่บอกน้องไว้ ตอนขับรถมาเราเห็นมี Daiso ใหญ่มากตั้งอยู่ เลยคุยกันว่าถ้าขากลับผ่านเราจะแวะ และเราก็ได้ผ่านกลับมาทางเดิม มีของหลายอย่างมากๆ ที่น่าโดน เดินดูจนทั่วแล้วเราก็เดินทางไปยังที่พักในคืนนี้ค่ะ
ขับรถข้ามสะพานทะเลสาปคาวากุจิไปฝั่ง Nagasaki Park พอข้ามฝั่งมาได้เราเห็นแนวซากุระยืนรอต้อนรับเราอย่างเบิกบาน ที่พักของเราในคืนนี้คือ Cottage Pastorale เป็นบ้านสองชั้นสไตล์ตะวันตกมีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างครบ โทรทัศน์จอแบน มีห้องครัวพร้อมไมโครเวฟและตู้เย็น ห้องน้ำส่วนตัวมีรองเท้าแตะและเครื่องใช้ในห้องน้ำฟรี รวมถึงผ้าขนหนูและที่นอนเป็นแบบฝูก
เรารีบขับรถจอดในที่พักและเก็บของเข้าบ้าน จากนั้นชวนกันเดินออกมาหน้าบ้านเพื่อถ่ายรูปซากุระตรงจุดชมวิวที่ 19 ลมจะพัดแรงแค่ไหนก็ไม่กลัว ฝนตกตกแค่ไหนก็ตกมา ตอนนี้เราก็ลังชื่นชมบรรยากาศซากุระอยู่ วันนี้มีการเป็น Light Up เป็นวันแรก เนื่องจากปีนี้ซากุระบานเร็วเลยเลื่อนมาให้ไวขึ้น
เกือบๆ สองทุ่มพวกเราขับรถออกไปซื้องของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ที่พัก เผื่อซื้อของกลับมาทำ กลับถึงบ้านเราก็แบ่งหน้าทีกันคนนึงทำกับข้าว คนนึงเอาอาหารออกมาอุ่น คนนึงจัดโต๊ะ เรียบร้อยแล้วเราก็นั่งคุยกันถึงการเที่ยวของพวกเราหลายๆ วันที่ผ่านมา เที่ยงคืนเราทำความสะอาดเรียบร้อยก็แยกย้ายกันไปนอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น