12 Apr 18
วันนี้เราออกจากบ้านตอนตีห้าครึ่งเพื่อเดินไปที่สวนใกล้ๆ บ้าน ซากุระที่เห็นตอนเปิดไลท์อัพก็ว่าสวยแล้ว เจอตอนสว่างๆ แบบนี้ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ ลมพัดกลีบดอกซากุระก็ร่วงลงมาเหมือนสายฝน และในหนึ่งปีซากุระบานอยู่แค่ไม่กี่อาทิตย์เท่านั้นมันเลยทำให้ใครหลายๆ คนแย่งกันมาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้
เดินเล่น นั่งเล่น รอฟูจิซังไปเรื่อยๆ เห็นเมฆลอยไปลอยมา เราก็ไม่รู้จะทำอะไรระหว่างรอแฟนถ่ายรูป เลยคุยกับคุณฟูจิไปพลางๆ เราบอกคุณฟูจิว่าเรามาไกลนะ ออกมาหน่อยสิ ออกมาเจอเราหน่อย นั่งคุยกับคุณฟูจิตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ จนเกือบจะเจ็ดมองเช้าในที่สุดวินาทีที่เรารอคอยก็มาถึง ได้ยินเสียงว๊าวเบาๆ เสียงชัดเตอร์กดกัดรัวๆ เราก็นั่งตากลมชมวิวกันไปใช้สายตาแทนกล้องเก็บบรรยากาศช่วงนี้ไว้
การมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ของเราเรียกได้ว่าเห็นสิ่งที่อยากเห็น ได้กินสิ่งที่อยากกิน ได้ทำสิ่งที่อยากทำครบหมดสิ้นทุกกระบวนการที่เคยได้แต่ฝันถึง แต่คิดอีกทีก็ยังไม่หมดนะเพราะยังไม่ได้ตามรอย Keita กับซื้อ DVD W-inds. เลย ยังกลับบ้านไม่ได้นะ
เราเข้ามาเก็บของขึ้นรถไปยังจุดหมายถัดไปคือ "Chureito Pagoda" ใส่ Map Code เรียบร้อยออกเดินทางได้!!!! ขับรถไปได้นิดหน่อยเราก็เจอจุดถ่ายรูปทะเลสาปกับฟูจิซังมุมนี้ก็สวยอีกแล้ว จุดนี้อยู่ประมาณป้ายรถบัสที่ 3 มีที่จอดรถพอดี แวะหน่อยก็แล้วกัน ^__^
ออกรถไป Chureito Pagoda กันต่อ เราสามารถมองเห็นฟูจิซังพร้อมกับซากุระจังไปตลอดทาง ลมพัดมาทีซากุระจังก็ร่วงลงมาเหมือนสายฝน ไม่นานก็มาถึงจุดหมายเราขับไปจอดตรงที่เค้าจัดไว้ให้ มีเจ้าหน้าที่คอยโบกเข้าไปในลานจอดรถ ตรงนี้ต้องเสียค่าจอด 1,000 เยน มีใบอะไรซักอย่างที่เราอ่านไม่ออก พร้อมกับโปสการ์ดให้ 1 ใบ
จอดรถเรียบร้อยแล้วก็เตรียมเดินขึ้นเขา ขอย้ำๆ ขึ้นเขาค่ะ เราหาข้อมูลมาว่าต้องเดินขึ้นบันไดทั้งหมด 397 ขั้น ส่วนความชันน่าจะประมาณ 45 องศา (อันนี้กะเอาเอง) ถ้ามีผู้สูงอายุหรือคนเข่าไม่ดีไปด้วย มันจะพอมีทางลาดขึ้นไปได้อ้อมหน่อยแต่เดินง่ายขึ้นค่ะ เพราะขนาดเราที่คิดว่าเตรียมตัวไปดีแล้วยังเดินไปหอบไปกว่าจะถึงด้านบน ต้องคอยหยุดเป็นพักๆ 5555++++
เก็บมุมฮิตๆ เรียบร้อยเตรียมจะเดินลง เราหันไปเห็นทางซ้ายมือมีแนวซากุระทอดยาวไป (ทางลาดที่บอกไปก่อนหน้านี้) ไปเดินชมสวนซากุระกันหน่อย เรากับแฟนเดินเล่นท่ามกลางกลีบดอกซากุระที่ปลิวว่อนไปทั่ว ระหว่างที่บรรยากาศกำลังโรแมนติกอยู่ๆ งูตัวใหญ่มากก็เลื้อยออกมาทักทายเราสองคน ร้องจ๊ากกระโดดหลบแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว เรารีบตะโกนบอกคุณป้าญี่ปุ่นที่กำลังจะเดินสวนมา Snake!! Snake!! Snake!! ตะโกนบอกอยู่หลายทีคุณป้าก็ยังเดินยิ้มแป้นให้เรา แต่ในที่สุดคุณป้าก็เลิกมองหน้าเราและก้มมองตามที่เราชี้ คุณป้าญี่ปุ่นตกใจกระโดดเป็นกระต่ายกันเลยทีเดียว 5555++
หลังจากที่รอให้งูค่อยๆ เลื้อยผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เราสองคนก็รีบวิ่งออกมาจากสวนตรงนั้นทันที เราคุยกันว่าธรรมาชาติบ้านเค้าค่อนข้างสมบูรณ์เพราะเห็นมีป้ายติดเตือนอยู่ในสวนสารธารณะหรือตามเส้นทางภูเขาตลอดให้ระวังสัตว์ป่า เดินลงมาถึง Arakura Sengen Shrine ตรงด้านหน้าศาลเจ้านี้จะมี View Point อีกหนึ่งจุดที่มองเห็นฟูจิซังผ่านเสาโทริอิได้ เราไม่ได้เดินเข้าไปไหว้ในตัวศาลเจ้า แค่เดินเข้าไปดูร้านขายของที่ระลึกแค่นั้นก็ชวนกันไปต่อ
เสร็จจาก Chureito Pagoda ประมาณสิบโมงพอดีเราสองเริ่มหิวกันอีกแล้ว (จริงๆ กินอาหารเหลือจากเมื่อวานมานิดหน่อยแล้ว) ระหว่างขับรถออกมาเราก็คิดว่าจะกินอะไรกันดี ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะลองไปหาอะไรกินที่ Cafe Gusto (มีพี่ที่รู้จักกันแนะนำมาว่ารสชาติอาหารคุ้มราคา) เปิด GPS ไปกันเลย สาขาที่เราไปค่อนข้างสะดวกเพราะมีที่ให้จอดรถและมี 7-11 อยู่ใกล้ๆ ที่จอดรถค่อนข้างกว้าง
เราสองคนยืนดูเมนูอยู่หน้าร้านก่อนพอตัดสินใจได้ว่าจะสั่งอะไรก็เดินเข้าไปหาที่นั่ง (มีโซนสูบบุหรี่ให้เลือก) ตอนเราสั่งอาหารไปพนักงานแจ้งว่าเมนูที่เราสั่งเริ่มขายตอนสิบโมงครึ่งเหลืออีกเหลือเวลาอีก 15 นาทีจะรอมั้ย เพราะตั้งแต่ 5.00 น. - 10.30 น. จะเป็นเมนูอาหารเช้า เรากับแฟนเลือกที่จะไม่รอ เราสั่งเป็นเซ็ตอาหารเช้ามาคนละหนึ่งเซ็ต (เมนูที่เราสั่ง + ซุปเห็ด, ซุปข้าวโพ้ด, ซุปมิโสะ + น้ำ, น้ำอัด, น้ำผลไม้, ชา, กาแฟ : ซุปกับน้ำเราสามารถเติมได้แต่ต้องกินให้หมด)
ระหว่างกินข้าวเราก็คุยกันว่าจะไปไหนกันต่อดี แต่คิดไปคิดมาหลายที่สุดท้ายก็ไม่ไปเพราะเรากลัวเอารถกลับไปคืนไม่ทัน เราเลยตัดสินใจว่าไปขับรถรอบๆ ทะเลสาปรอเวลาคืนรถแล้วกัน
นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะเราได้เจอสวนสาธารณะที่มีซากุระเต็มไปหมดแถมยังสามารถมองวิวฟูจิซังจากในสวนได้ด้วย สวนที่เราแวะชื่อว่า "Shikkogo Park" มีคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่จูงสุนัขมาเดินเล่นหรือไม่ก็มานอนเล่นอยู่ใต้ต้นซากุระ
ใกล้เวลาเราก็ขับรถกลับเข้าเส้นทางเผื่อเอารถไปคืน ก่อนจะคืนรถเราต้องแวะเติมน้ำมันก่อนปั๊มน้ำมันที่เราเล็งไว้อยู่ก่อนถึงร้านที่เราเช่ารถเลยค่ะ ปั๊มนี้มีพนักงานคอยเติมน้ำมันให้เราไม่ต้องกังวล แค่เราบอกเค้าว่าเราต้องเติมน้ำมันแบบไหนและเติมเท่าไหร่แค่นั้นเอง รถที่เราเช่ามาเติมน้ำมันแบบ Regular (สีแดง) เราชี้ที่หัวจ่ายน้ำมันสีแดง แล้วบอก Full โอเครู้เรื่องกัน เราเติมน้ำมันรถไป 801 เยน ต้องขอใบเสร็จในการเติมน้ำมันมาด้วยเพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าเราเติมน้ำมันถูกชนิดและเติมน้ำมันคืนเต็มถังแล้ว
เติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อยเราก็เอารถไปคืน เราขนของลงจากรถแลคืนกุญแจให้พนักงานรับรถเรียบร้อย เค้าจะบอกให้เราไปทำเรื่องคืนรถที่ออฟฟิศ เราไปถึงแค่บอกเค้าว่าเราเอารถมาคืน ยื่นหนังสือคู่มือที่ได้รับมากับรถพร้อมกับใบเสร็จเติมน้ำมันให้เจ้าหน้าที่ รอซักพักพนักงานคอยตรวจเช็ครถมาแจ้งว่าไม่มีอะไรเสียหายเป็นอันจบพิธี
เราจองรถ Highway Bus ไว้ตอน 14.20 น. เพื่อไป Shinjuku แต่ตอนนี้พึ่งบ่ายโมงเราสองคนไม่รู้จะไปไหนดีในสถานีก็คนเยอะ เลยเดินออกมานั่งตรงสนามหญ้าแถวๆ ลานจอดรถยนต์ใกล้ๆ เกือบๆ บ่ายสองเราก็เดินไปที่สถานีคาวากุจิโกะหาซื้อของฝากนิดหน่อย จากนั้นเดินไปรอที่ป้าย Highway Bus No.3 ไป Shinjuku รถค่อนข้างตรงเวลามากถ้าไม่แน่ใจเราแนะนำให้ไปก่อนเวลาแล้วคอยถามเจ้าหน้าที่ว่าใช่คันที่เราจองไว้รึเปล่าจะได้ไม่ตกรถ
สำหรับรถ Highway Bus เราว่าเป็นทางเลือกที่สะดวกมากสำหรับคนที่ไม่มี JR Wild Pass หรือ JR Rail Pass อย่างเรา แค่เราต้องกะเวลาให้ดีอย่าให้เย็นจนเกิดไปเพราะเป็นช่วงคนกำลังเลิกงานบางทีอาจจะทำให้เสียเวลาเพราะรถค่อนข้างติด เนื่องจากตอนจองออนไลน์เราเลือกที่นั่งด้านหน้าระบบ Random ได้ที่นั่งหลังคนขับ ใครที่ขาค่อนข้างยาวแนะนำให้เลือกทางด้านหลังเพราะด้านหน้าสุดที่จะค่อนข้างแคบค่ะ ใครมีกระเป๋าเดินทางก็ให้เจ้าหน้าที่เก็บเข้าใต้ท้องรถได้เลย เดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึง Shinjuku เราหลับกันมาตลอดทางรถนั่งสบายมาก มีพนักงานคอยประกาศอะไรซักอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นเป็นระยะๆ ซึ่่งเราฟังไม่เข้าใจตื่นมามองแล้วก็หลับต่อ 555++
ถึง Shinjuku เราตัดสินใจไปที่พักก่อนเผื่อว่ากระเป๋าที่เราส่งมาจากโรงแรมที่โอซาก้าจะหลงทาง เราจองที่พักในโตเกียวไว้ที่ "Hotel Route Inn Tokyo Asagaya" หลังจากลงมาที่ชั้นหนึ่งของสถานีรถบัสให้เดินตามป้าย Subway เป้าหมายของเราคือสายสีแดง M (Marunouchi line) ให้เลือกป้ายที่เขียนว่า for Ogikubo หลังจากที่เราได้ประสบการณ์เกือบตกรถไฟมาแล้วเพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลาครั้งนี้เราเลยเดินไปดูป้ายก่อนจะขึ้นรถว่าเราสามารถขึ้นรถไฟแบบไหนได้บ้าง สำหรับสถานี Minami-Ayasaga รถจอดทุกสถานีค่ะ (สายไหนมีรถไฟแบบเดียวก็สบายไปไม่ต้องระวังมาก)
วิธีเดินทาง: M08 Shinjuki >> M02 Minami-Ayasaga / Exit 1
เราลงที่สถานี Minami-Ayasaga กำลังจะเสิร์ชหาว่าต้องใช้ทางออกไหน ปรากฏว่ามีชื่อโรงแรมบอกชัดเจนในป้ายบอกทางว่าให้ไปทางออก 1 ได้เลย (แต่ใครที่มีกระเป๋าให้ไปออกทางออก 2B ทางนั้นจะมีลิฟต์) ออกจากสถานีเลี้ยวซ้ายไปประมาณ 180 เมตรก็ถึงที่พัก เราทำเรื่องเช็คอินเรียบร้อยแล้วพนักงานก็เข็นกระเป๋าเอาออกมาให้โล่งเลยกระเป๋ามาถึงจริงๆ
ห้องพักเราอยู่ที่ชั้น 6 เราค่อนข้างชอบกลิ่นของโรงแรมนี้มันมีกลิ่นอโรม่าอ่อนๆ คล้ายกลิ่นน้ำหอม wood ของ Innisfree ไปทั่วโรงแรม ขนาดห้องค่อนข้างแคบตามสไตล์บิสเนสโฮเทลทั่วไปของญี่ปุ่น แต่อุปกรณ์เครื่องใช้ยังครบเหมือนเดิมแถมที่นี่มีชุดนอนให้ใส่ด้วย ที่น่าเสียดายที่หน้าต่างเปิดไม่ได้ (หรือเราเปิดไม่เป็น)
เราค่อนข้างหิวแล้วเลยชวนแฟนเดินกลับมากิน Yoshinoya ที่เดินผ่านมาจากสถานีรถไฟ เราเข้าไปในร้านขอเมนูภาษาอังกฤษพนักงานไม่เข้าใจเอาเมนูภาษาจีนมาให้แถมเป็นสีขาวดำ แถมพนักงานที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าเดินมารับออร์เดอร์เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้พูดญี่ปุ่นใส่เรารัวๆ อ้าวงงไปใหญ่สิ -_-" แต่ความหิวชนะทุกอย่างเราหยิบเมนูภาษาญี่ปุ่นที่เป็นภาพสีๆ จิ้มมาหนึ่งเมนู คิดว่าคงเป็นข้าวหน้าหมูเทอริยากิที่ไหนได้มันเป็นข้าวหน้าไก่เทอริยากิ กินเสร็จเรียกพนักงานมาคิดเงินครั้งนี้เป็นหน้าที่น้องผู้หญิงเดินเข้ามากดเครื่องคิดเลขบอกเราเป็นภาษาอังกฤษว่าเท่าไหร่ อ้าว!!! ก็มีคนพูดได้หนิแล้วทำไมไม่ให้มาคุยแต่แรก T^T
ระหว่างกินข้าวเราก็ไลน์หาน้องที่รู้จักกันคุยกันว่าไปไหนกันดี ออกไปเดินด้วยกันมั้ย สรุปได้ว่าเดี๋ยววันนี้ไปเดินเล่นเบาๆ ที่ชินจูกุก่อนเรากับแฟนต้องไปซื้อบัตร Tokyo Subway 72 Hours ที่ BICQLO BicCamera Shinjuku East Store ด้วย (เราลองหาข้อมูลอีกทีจริงๆ แล้วสามารถซื้อที่สถานี Subway ได้เลยค่ะ) ซื้อบัตรเสร็จแล้วก็เดินชื่นชมในบิ๊กคาเมร่ากันต่อ
เราเดินอยู่พักนึงไม่รู้จะซื้ออะไรจิตใจมันร่ำร้องแต่จะไปหา DVD ที่ Book off เราเลยโทรบอกน้องว่าเดียวแยกกันเดิน ลากแฟนเดินไปที่ Book off จะอยู่ชั้น 4 - 6 ของตึก 110 เราลองเดินหา DVD W-inds. ที่ชั้น 4 โซน J-pop อยู่ประมาณ 3 รอบก็ยังหาไม่เจอเพราะหมวดหมู่จัดเรียงมั่วไปหมดแถมบางจุดเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย เราเลยเดินขึ้นไปชั้น 5 - 6 สองชั้นนี้เป็นหนังสือเราเลยเดินกลับลงมาที่ชั้น 4 อีกรอบเดินมาดูที่เดิมอีกครั้งในที่สุดเราก็ได้ DVD มาสองแผ่น ดีใจมากเพราะแผ่นนึงเป็นคอนเดียวของ Keita โอเคจบเลิกหา ^____^ เราตามหาตั้งแต่เกียวโต โอซาก้า มายันโตเกียวในที่สุดก็เจอ
กลับมาทีพักเราก็แวะร้านสะดวกซื้อข้างที่พักหาอะไรกินกันก่อนนอนเพราะจุดนี้ไม่อยากไปไหนต่อแล้ว หยิบข้าวหน้าเนื้อกับโซบะมาอย่างละหนึ่ง น้ำผลไม้ น้ำเปล่า ขนมอีกนิดหน่อยขึ้นมากินที่ห้องพักเป็นการจบวัน
เดินเล่น นั่งเล่น รอฟูจิซังไปเรื่อยๆ เห็นเมฆลอยไปลอยมา เราก็ไม่รู้จะทำอะไรระหว่างรอแฟนถ่ายรูป เลยคุยกับคุณฟูจิไปพลางๆ เราบอกคุณฟูจิว่าเรามาไกลนะ ออกมาหน่อยสิ ออกมาเจอเราหน่อย นั่งคุยกับคุณฟูจิตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ จนเกือบจะเจ็ดมองเช้าในที่สุดวินาทีที่เรารอคอยก็มาถึง ได้ยินเสียงว๊าวเบาๆ เสียงชัดเตอร์กดกัดรัวๆ เราก็นั่งตากลมชมวิวกันไปใช้สายตาแทนกล้องเก็บบรรยากาศช่วงนี้ไว้
การมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ของเราเรียกได้ว่าเห็นสิ่งที่อยากเห็น ได้กินสิ่งที่อยากกิน ได้ทำสิ่งที่อยากทำครบหมดสิ้นทุกกระบวนการที่เคยได้แต่ฝันถึง แต่คิดอีกทีก็ยังไม่หมดนะเพราะยังไม่ได้ตามรอย Keita กับซื้อ DVD W-inds. เลย ยังกลับบ้านไม่ได้นะ
เราเข้ามาเก็บของขึ้นรถไปยังจุดหมายถัดไปคือ "Chureito Pagoda" ใส่ Map Code เรียบร้อยออกเดินทางได้!!!! ขับรถไปได้นิดหน่อยเราก็เจอจุดถ่ายรูปทะเลสาปกับฟูจิซังมุมนี้ก็สวยอีกแล้ว จุดนี้อยู่ประมาณป้ายรถบัสที่ 3 มีที่จอดรถพอดี แวะหน่อยก็แล้วกัน ^__^
ออกรถไป Chureito Pagoda กันต่อ เราสามารถมองเห็นฟูจิซังพร้อมกับซากุระจังไปตลอดทาง ลมพัดมาทีซากุระจังก็ร่วงลงมาเหมือนสายฝน ไม่นานก็มาถึงจุดหมายเราขับไปจอดตรงที่เค้าจัดไว้ให้ มีเจ้าหน้าที่คอยโบกเข้าไปในลานจอดรถ ตรงนี้ต้องเสียค่าจอด 1,000 เยน มีใบอะไรซักอย่างที่เราอ่านไม่ออก พร้อมกับโปสการ์ดให้ 1 ใบ
จอดรถเรียบร้อยแล้วก็เตรียมเดินขึ้นเขา ขอย้ำๆ ขึ้นเขาค่ะ เราหาข้อมูลมาว่าต้องเดินขึ้นบันไดทั้งหมด 397 ขั้น ส่วนความชันน่าจะประมาณ 45 องศา (อันนี้กะเอาเอง) ถ้ามีผู้สูงอายุหรือคนเข่าไม่ดีไปด้วย มันจะพอมีทางลาดขึ้นไปได้อ้อมหน่อยแต่เดินง่ายขึ้นค่ะ เพราะขนาดเราที่คิดว่าเตรียมตัวไปดีแล้วยังเดินไปหอบไปกว่าจะถึงด้านบน ต้องคอยหยุดเป็นพักๆ 5555++++
เดินขึ้นบันไดอ้อมไปหลัง Chureito Pagoda ตรงนี้คนถ่ายรูปเยอะที่สุดเพราะเป็น View Point สำคัญของที่นี่ จริงๆ เราแนะนำให้ไปแต่เช้าคนจะได้น้อย เราไปถึงประมาณเก้าโมงกว่าๆ แล้ว การจะถ่ายรูปให้ออกมาสวยไม่ติดผู้คนแทบเป็นไปไม่ได้เลย และอีกเหตุผลที่ควรไปแต่เช้าเพราะหลังเก้าโมงไปแล้วจะทำให้เราต้องถ่ายรูปย้อนแสงค่ะ
เบียดเสียดผู้คนจนได้รูปที่น่าพอใจแล้วเราก็เดินลงมาถ่ายรูปด้านหน้าเจดีย์กันบ้าง
เก็บมุมฮิตๆ เรียบร้อยเตรียมจะเดินลง เราหันไปเห็นทางซ้ายมือมีแนวซากุระทอดยาวไป (ทางลาดที่บอกไปก่อนหน้านี้) ไปเดินชมสวนซากุระกันหน่อย เรากับแฟนเดินเล่นท่ามกลางกลีบดอกซากุระที่ปลิวว่อนไปทั่ว ระหว่างที่บรรยากาศกำลังโรแมนติกอยู่ๆ งูตัวใหญ่มากก็เลื้อยออกมาทักทายเราสองคน ร้องจ๊ากกระโดดหลบแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว เรารีบตะโกนบอกคุณป้าญี่ปุ่นที่กำลังจะเดินสวนมา Snake!! Snake!! Snake!! ตะโกนบอกอยู่หลายทีคุณป้าก็ยังเดินยิ้มแป้นให้เรา แต่ในที่สุดคุณป้าก็เลิกมองหน้าเราและก้มมองตามที่เราชี้ คุณป้าญี่ปุ่นตกใจกระโดดเป็นกระต่ายกันเลยทีเดียว 5555++
หลังจากที่รอให้งูค่อยๆ เลื้อยผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เราสองคนก็รีบวิ่งออกมาจากสวนตรงนั้นทันที เราคุยกันว่าธรรมาชาติบ้านเค้าค่อนข้างสมบูรณ์เพราะเห็นมีป้ายติดเตือนอยู่ในสวนสารธารณะหรือตามเส้นทางภูเขาตลอดให้ระวังสัตว์ป่า เดินลงมาถึง Arakura Sengen Shrine ตรงด้านหน้าศาลเจ้านี้จะมี View Point อีกหนึ่งจุดที่มองเห็นฟูจิซังผ่านเสาโทริอิได้ เราไม่ได้เดินเข้าไปไหว้ในตัวศาลเจ้า แค่เดินเข้าไปดูร้านขายของที่ระลึกแค่นั้นก็ชวนกันไปต่อ
เสร็จจาก Chureito Pagoda ประมาณสิบโมงพอดีเราสองเริ่มหิวกันอีกแล้ว (จริงๆ กินอาหารเหลือจากเมื่อวานมานิดหน่อยแล้ว) ระหว่างขับรถออกมาเราก็คิดว่าจะกินอะไรกันดี ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะลองไปหาอะไรกินที่ Cafe Gusto (มีพี่ที่รู้จักกันแนะนำมาว่ารสชาติอาหารคุ้มราคา) เปิด GPS ไปกันเลย สาขาที่เราไปค่อนข้างสะดวกเพราะมีที่ให้จอดรถและมี 7-11 อยู่ใกล้ๆ ที่จอดรถค่อนข้างกว้าง
เราสองคนยืนดูเมนูอยู่หน้าร้านก่อนพอตัดสินใจได้ว่าจะสั่งอะไรก็เดินเข้าไปหาที่นั่ง (มีโซนสูบบุหรี่ให้เลือก) ตอนเราสั่งอาหารไปพนักงานแจ้งว่าเมนูที่เราสั่งเริ่มขายตอนสิบโมงครึ่งเหลืออีกเหลือเวลาอีก 15 นาทีจะรอมั้ย เพราะตั้งแต่ 5.00 น. - 10.30 น. จะเป็นเมนูอาหารเช้า เรากับแฟนเลือกที่จะไม่รอ เราสั่งเป็นเซ็ตอาหารเช้ามาคนละหนึ่งเซ็ต (เมนูที่เราสั่ง + ซุปเห็ด, ซุปข้าวโพ้ด, ซุปมิโสะ + น้ำ, น้ำอัด, น้ำผลไม้, ชา, กาแฟ : ซุปกับน้ำเราสามารถเติมได้แต่ต้องกินให้หมด)
ระหว่างกินข้าวเราก็คุยกันว่าจะไปไหนกันต่อดี แต่คิดไปคิดมาหลายที่สุดท้ายก็ไม่ไปเพราะเรากลัวเอารถกลับไปคืนไม่ทัน เราเลยตัดสินใจว่าไปขับรถรอบๆ ทะเลสาปรอเวลาคืนรถแล้วกัน
นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะเราได้เจอสวนสาธารณะที่มีซากุระเต็มไปหมดแถมยังสามารถมองวิวฟูจิซังจากในสวนได้ด้วย สวนที่เราแวะชื่อว่า "Shikkogo Park" มีคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่จูงสุนัขมาเดินเล่นหรือไม่ก็มานอนเล่นอยู่ใต้ต้นซากุระ
ใกล้เวลาเราก็ขับรถกลับเข้าเส้นทางเผื่อเอารถไปคืน ก่อนจะคืนรถเราต้องแวะเติมน้ำมันก่อนปั๊มน้ำมันที่เราเล็งไว้อยู่ก่อนถึงร้านที่เราเช่ารถเลยค่ะ ปั๊มนี้มีพนักงานคอยเติมน้ำมันให้เราไม่ต้องกังวล แค่เราบอกเค้าว่าเราต้องเติมน้ำมันแบบไหนและเติมเท่าไหร่แค่นั้นเอง รถที่เราเช่ามาเติมน้ำมันแบบ Regular (สีแดง) เราชี้ที่หัวจ่ายน้ำมันสีแดง แล้วบอก Full โอเครู้เรื่องกัน เราเติมน้ำมันรถไป 801 เยน ต้องขอใบเสร็จในการเติมน้ำมันมาด้วยเพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าเราเติมน้ำมันถูกชนิดและเติมน้ำมันคืนเต็มถังแล้ว
เติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อยเราก็เอารถไปคืน เราขนของลงจากรถแลคืนกุญแจให้พนักงานรับรถเรียบร้อย เค้าจะบอกให้เราไปทำเรื่องคืนรถที่ออฟฟิศ เราไปถึงแค่บอกเค้าว่าเราเอารถมาคืน ยื่นหนังสือคู่มือที่ได้รับมากับรถพร้อมกับใบเสร็จเติมน้ำมันให้เจ้าหน้าที่ รอซักพักพนักงานคอยตรวจเช็ครถมาแจ้งว่าไม่มีอะไรเสียหายเป็นอันจบพิธี
เราจองรถ Highway Bus ไว้ตอน 14.20 น. เพื่อไป Shinjuku แต่ตอนนี้พึ่งบ่ายโมงเราสองคนไม่รู้จะไปไหนดีในสถานีก็คนเยอะ เลยเดินออกมานั่งตรงสนามหญ้าแถวๆ ลานจอดรถยนต์ใกล้ๆ เกือบๆ บ่ายสองเราก็เดินไปที่สถานีคาวากุจิโกะหาซื้อของฝากนิดหน่อย จากนั้นเดินไปรอที่ป้าย Highway Bus No.3 ไป Shinjuku รถค่อนข้างตรงเวลามากถ้าไม่แน่ใจเราแนะนำให้ไปก่อนเวลาแล้วคอยถามเจ้าหน้าที่ว่าใช่คันที่เราจองไว้รึเปล่าจะได้ไม่ตกรถ
สำหรับรถ Highway Bus เราว่าเป็นทางเลือกที่สะดวกมากสำหรับคนที่ไม่มี JR Wild Pass หรือ JR Rail Pass อย่างเรา แค่เราต้องกะเวลาให้ดีอย่าให้เย็นจนเกิดไปเพราะเป็นช่วงคนกำลังเลิกงานบางทีอาจจะทำให้เสียเวลาเพราะรถค่อนข้างติด เนื่องจากตอนจองออนไลน์เราเลือกที่นั่งด้านหน้าระบบ Random ได้ที่นั่งหลังคนขับ ใครที่ขาค่อนข้างยาวแนะนำให้เลือกทางด้านหลังเพราะด้านหน้าสุดที่จะค่อนข้างแคบค่ะ ใครมีกระเป๋าเดินทางก็ให้เจ้าหน้าที่เก็บเข้าใต้ท้องรถได้เลย เดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึง Shinjuku เราหลับกันมาตลอดทางรถนั่งสบายมาก มีพนักงานคอยประกาศอะไรซักอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นเป็นระยะๆ ซึ่่งเราฟังไม่เข้าใจตื่นมามองแล้วก็หลับต่อ 555++
ถึง Shinjuku เราตัดสินใจไปที่พักก่อนเผื่อว่ากระเป๋าที่เราส่งมาจากโรงแรมที่โอซาก้าจะหลงทาง เราจองที่พักในโตเกียวไว้ที่ "Hotel Route Inn Tokyo Asagaya" หลังจากลงมาที่ชั้นหนึ่งของสถานีรถบัสให้เดินตามป้าย Subway เป้าหมายของเราคือสายสีแดง M (Marunouchi line) ให้เลือกป้ายที่เขียนว่า for Ogikubo หลังจากที่เราได้ประสบการณ์เกือบตกรถไฟมาแล้วเพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลาครั้งนี้เราเลยเดินไปดูป้ายก่อนจะขึ้นรถว่าเราสามารถขึ้นรถไฟแบบไหนได้บ้าง สำหรับสถานี Minami-Ayasaga รถจอดทุกสถานีค่ะ (สายไหนมีรถไฟแบบเดียวก็สบายไปไม่ต้องระวังมาก)
วิธีเดินทาง: M08 Shinjuki >> M02 Minami-Ayasaga / Exit 1
เราลงที่สถานี Minami-Ayasaga กำลังจะเสิร์ชหาว่าต้องใช้ทางออกไหน ปรากฏว่ามีชื่อโรงแรมบอกชัดเจนในป้ายบอกทางว่าให้ไปทางออก 1 ได้เลย (แต่ใครที่มีกระเป๋าให้ไปออกทางออก 2B ทางนั้นจะมีลิฟต์) ออกจากสถานีเลี้ยวซ้ายไปประมาณ 180 เมตรก็ถึงที่พัก เราทำเรื่องเช็คอินเรียบร้อยแล้วพนักงานก็เข็นกระเป๋าเอาออกมาให้โล่งเลยกระเป๋ามาถึงจริงๆ
ห้องพักเราอยู่ที่ชั้น 6 เราค่อนข้างชอบกลิ่นของโรงแรมนี้มันมีกลิ่นอโรม่าอ่อนๆ คล้ายกลิ่นน้ำหอม wood ของ Innisfree ไปทั่วโรงแรม ขนาดห้องค่อนข้างแคบตามสไตล์บิสเนสโฮเทลทั่วไปของญี่ปุ่น แต่อุปกรณ์เครื่องใช้ยังครบเหมือนเดิมแถมที่นี่มีชุดนอนให้ใส่ด้วย ที่น่าเสียดายที่หน้าต่างเปิดไม่ได้ (หรือเราเปิดไม่เป็น)
เราค่อนข้างหิวแล้วเลยชวนแฟนเดินกลับมากิน Yoshinoya ที่เดินผ่านมาจากสถานีรถไฟ เราเข้าไปในร้านขอเมนูภาษาอังกฤษพนักงานไม่เข้าใจเอาเมนูภาษาจีนมาให้แถมเป็นสีขาวดำ แถมพนักงานที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าเดินมารับออร์เดอร์เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้พูดญี่ปุ่นใส่เรารัวๆ อ้าวงงไปใหญ่สิ -_-" แต่ความหิวชนะทุกอย่างเราหยิบเมนูภาษาญี่ปุ่นที่เป็นภาพสีๆ จิ้มมาหนึ่งเมนู คิดว่าคงเป็นข้าวหน้าหมูเทอริยากิที่ไหนได้มันเป็นข้าวหน้าไก่เทอริยากิ กินเสร็จเรียกพนักงานมาคิดเงินครั้งนี้เป็นหน้าที่น้องผู้หญิงเดินเข้ามากดเครื่องคิดเลขบอกเราเป็นภาษาอังกฤษว่าเท่าไหร่ อ้าว!!! ก็มีคนพูดได้หนิแล้วทำไมไม่ให้มาคุยแต่แรก T^T
ระหว่างกินข้าวเราก็ไลน์หาน้องที่รู้จักกันคุยกันว่าไปไหนกันดี ออกไปเดินด้วยกันมั้ย สรุปได้ว่าเดี๋ยววันนี้ไปเดินเล่นเบาๆ ที่ชินจูกุก่อนเรากับแฟนต้องไปซื้อบัตร Tokyo Subway 72 Hours ที่ BICQLO BicCamera Shinjuku East Store ด้วย (เราลองหาข้อมูลอีกทีจริงๆ แล้วสามารถซื้อที่สถานี Subway ได้เลยค่ะ) ซื้อบัตรเสร็จแล้วก็เดินชื่นชมในบิ๊กคาเมร่ากันต่อ
เราเดินอยู่พักนึงไม่รู้จะซื้ออะไรจิตใจมันร่ำร้องแต่จะไปหา DVD ที่ Book off เราเลยโทรบอกน้องว่าเดียวแยกกันเดิน ลากแฟนเดินไปที่ Book off จะอยู่ชั้น 4 - 6 ของตึก 110 เราลองเดินหา DVD W-inds. ที่ชั้น 4 โซน J-pop อยู่ประมาณ 3 รอบก็ยังหาไม่เจอเพราะหมวดหมู่จัดเรียงมั่วไปหมดแถมบางจุดเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย เราเลยเดินขึ้นไปชั้น 5 - 6 สองชั้นนี้เป็นหนังสือเราเลยเดินกลับลงมาที่ชั้น 4 อีกรอบเดินมาดูที่เดิมอีกครั้งในที่สุดเราก็ได้ DVD มาสองแผ่น ดีใจมากเพราะแผ่นนึงเป็นคอนเดียวของ Keita โอเคจบเลิกหา ^____^ เราตามหาตั้งแต่เกียวโต โอซาก้า มายันโตเกียวในที่สุดก็เจอ
กลับมาทีพักเราก็แวะร้านสะดวกซื้อข้างที่พักหาอะไรกินกันก่อนนอนเพราะจุดนี้ไม่อยากไปไหนต่อแล้ว หยิบข้าวหน้าเนื้อกับโซบะมาอย่างละหนึ่ง น้ำผลไม้ น้ำเปล่า ขนมอีกนิดหน่อยขึ้นมากินที่ห้องพักเป็นการจบวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น