13 Apr 18
เริ่มต้นเช้าวันนี้ด้วยกันลงไปกินข้าวโรงแรมเพราะเงินสดเราเหลือน้อยเต็มทีแล้ว เพราะช่วงวันแรกๆ เรารื่นเริงกับของกินทุกอย่างที่เดินมากจนเกินไปวันหลังๆ เลยต้องจัดระเบียบตัวเองใหม่ ห้องอาหารของโรงแรมอาหารเช้าของ Hotel Route Inn Tokyo Asagaya จะเปิดเวลา 7.00 - 10.00 น. จะมีพนักงานคอยเติมอาหารเรื่อยๆ แต่วันนี้เราตื่นกันค่อนข้างสายอาหารบางอย่างเลยเหลือน้อยแล้ว เราว่ารสชาติและหน้าตาดีเลยทีเดียวประหยัดเงินไปหนึ่งมื้อ
อันที่จริงตามแพลนที่เราวางไว้วันนี้เราจะพักเหนื่อยตื่นสายๆ ไปเดินหาซื้อของเบาๆ แต่เราเช็คสภาพอากาศแล้วมีแค่วันนี้วันเดียวที่ฝนจะไม่ตกวันที่เหลืออาจจะเกิดฝน เราเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ Sensoji Temple หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่าวัดอาซากุซะ หรือวัดโคมแดงยักษ์
ระหว่างเดินกลับเราก็แวะเข้าไปเดินดูร้านขายของละรึกตามสองข้างทางเข้าวัด หลังจากซื้อของเสร็จเราหลบมุมหาที่เอาของยัดลงเป้
เราคุยกันว่าเริ่มหิวแล้วหาอะไรกินกันดี เรานึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มายังไม่ได้กินราเมงเลย เอาเป็นว่าถ้าเจอราเมงร้านไหนก็เข้าร้านนั้นดูเผื่อเจอช้างเผือก เดินต่อไปไม่ถึง10 วินาทีเราเจอร้านราเมงเล็กๆ อยู่ในซอยทางซ้ายมือ
เราคุยกันว่าเริ่มหิวแล้วหาอะไรกินกันดี เรานึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มายังไม่ได้กินราเมงเลย เอาเป็นว่าถ้าเจอราเมงร้านไหนก็เข้าร้านนั้นดูเผื่อเจอช้างเผือก เดินต่อไปไม่ถึง10 วินาทีเราเจอร้านราเมงเล็กๆ อยู่ในซอยทางซ้ายมือ
เราสองคนเดินไปดูเมนูและส่องดูในร้านปรากฏว่ามีคนนั่งกินกันอยู่ไม่เยอะเลยตัดสินใจเปิดประตูเข้าหาที่นั่งกัน แต่ร้านนี้เป็นเราต้องกดบัตรจากตู้เพื่อไปยื่นให้พนักงานเป็นการสั่งอาหาร ความยุ่งยากก็มาเยือนเพราะเมนูที่เราเลือกมามีแต่รูปกับภาษาญี่ปุ่น ยังดีที่พนักงานสังเกตเห็นว่าเราเงอะงะกันอยู่หน้าตู้เค้าเลยเข้ามาช่วยกดให้
พนักงานพาเราเข้าไปนั่งโต๊ะด้านในร้าน ร้านนี้ชื่อว่า "Ramen Yukikage" แถมเราโชคดีที่ร้านนี้เป็นร้านที่ค่อนข้างดังในกลุ่มคนท้องถิ่นเพราะคะแนน Tabelog 3.53 ดาวเลยทีเดียว ร้านนี้จะเป็นราเมงจะใช้น้ำซุปไก่เป็นหลักค่ะ เราสั่งเซ็ต A ราเมนซุปไก่ที่เป็นเมนูเรคคอมเมนของร้านและเซ็ต G เป็นทสึเคเมน
เพิ่มพลังกันเรียบร้อยแล้วเราก็เดินไปริมแม่น้ำสุมิดะเพื่อถ่ายรูปกับ "Tokyo Sky Tree และ ตึก Asahi" ไม่ต้องกลัวว่าจะหลังทางหาไม่เจอค่ะ ขอแค่เดินออกมาหน้าวัดมองหาโตเกียวสกายทรีแล้วเดินตามไปนิดเดียวก็ถึงค่ะ แถวนี้มีนักท่องเที่ยวนิยมใส่กิโมโน
Set A เมนู Recommend!! ของทางร้าน |
Set G Tsukemen |
เราตั้งใจมาตามรอย Keita แถวนี้ค่ะ แต่ด้วยความรีบทำให้เราถ่ายรูปมาผิดจุดเสียใจมา (T^T) จริงๆต้องเดินลัดริมแม่น้ำสุมิดะไปทางวัดเซ็นโซจิอีกนิดนึงจะได้มุมเดียวกันพอดี (เสียดายรู้ตัวตอนกลับมาถึงไทยแล้วไม่งั้นมีไปซ้ำ) เอาไว้โอกาสหน้าค่อยแก้ตัวใหม่นะเคจัง (T^T)
เราเดินทางต่อไปกันที่ย่าน Ueno เพื่อไปเดินเล่นที่ "ตลาด Ameyoko" กัน เราตั้งใจจะไปดูรองเท้าที่ร้าน "Tokyo Kutsu Ryutsu Center" และหาอะไรกินที่ตลาดนิดหน่อย เรากับแฟนเป็นคนที่ไปไหนก็ตามชอบไปเดินตามตลาดท้องถิ่น เราอยากรู้ว่าคนท้องถิ่นเค้านิยมกินอะไรกัน อะไรที่เป็นอาหารท้องถิ่นจริงๆ
วิธีเดินทาง: Asakusa >> Ueno / Exit 5B
พอออกจากสถานีเราก็เปิด GPS เดินตามไปเลยค่ะ ระหว่างทางเราแวะร้านของเล่นและร้านรองเท้าไปเรื่อยๆ ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้างตามแต่ถูกใจ เราเดินมาถึงปากทางเข้าตลาดพบว่าคนเยอะมาก เดินเบียดเสียดกันไปมาเราก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดเลยปลอบใจตัวเองเบาๆ ด้วยสตอเบอร์รี่หนึ่งไม้
รู้สึกดีขึ้นเราก็เดินไปที่ร้านรองเท้าแต่น่าเสียดายเรายังไม่เจอคู่ที่ถูกใจ แต่เดินไปอีกนิดก็สุดทางแล้วรู้สึกเคว้งคว้าง ของกินมีแค่นี้เองเหรอหรือเราพลาดซอกซอยไหนไป เราลืมว่าใกล้ๆ ตลาดมีร้านขนมหมื่นอย่าง "Niki no Kashi" เราลืมว่าตรงนี้มี "ตึกม่วง Takeya" เราลืมทุกสิ่งมุ่งหาแต่ของกินอย่างเดียว พอไม่เจออะไรที่อยากกินเราก็บอกแฟนว่าอยู่โตเกียวแล้วเราต้องชิลล์ไม่ต้องรีบร้อนกลับไปนอนก่อนค่อยออกใหม่
วิธีเดินทาง: Ueno >> Akasaka-mitsuke >> Minami-Asagaya
กลับมาถึงที่พักเราก็คุยกันว่านอนซักงีบดีกว่าฟ้าใกล้มืดแล้วค่อยออกไปลุยต่อกัน เราตั้งใจว่าไปถ่ายรูป Tokyo Tower กับไปเดินเล่นที่ Shibuya กัน เราไปถ่ายรูปกับโตเกียวสกายทรีมาแล้วแต่จะไม่ไปถ่ายรูปคู่กับโตเกียวทาวน์เวอร์คงเหมือนคนได้ใหม่ลืมเก่าไปหน่อย แถมเรายังต้องไปตามรอย Keita ด้วย
วิธีเดินทาง: Minami-Asagaya >> Nakano-sakaue >> Akabanebashi / Exit Akabanebashi Gate
พ้นจากทางออก Akabanebashi Gate เราก็จะเจอกับโตเกียวทาวน์เวอร์ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางตึกสูง เราเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเดินตามโตเกียวทาวเวอร์ไป ก่อนถึงทางขึ้นโตเกียวทาวน์เวอร์จะเจอกับ "Bijin-BLDG. Office & Cafe" เราเป็นป้ายโฆษณา Volkswagen ที่อยู่บนตึกนี้เด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล เรารีบเข้าไปจัดแจงหามุมทันทีนี่แหละใช่เลย Keita เคยมาถ่ายรูปมุมนี้ลง IG มองซ้ายมองขวาเผื่อจะเจอเคตะเดินเล่นอยู่แถวนี้ (มโนไม่เลิก)
หลังจากทำภารกิจเรียบร้อยสมใจเราเหลือบไปเห็นรถขายของคันเล็กๆ จอดอยู่ข้างทาง ชี้ชวนกันไปดูเห็นคุณลุงกำลังขายมันเผาอยู่ มันเผาร้อนๆ ต้องดีกับร่างกายแน่ๆ เราเลือกชิ้นละ 500 เยน มาหนึ่งชิ้น แบ่งกันกิน เรานั่งกินมันเผาอยู่นี้เป็นทางขึ้นไปโตเกียวทาวน์เวอร์
นั่งคุยกันว่าจะขึ้นไปดีรึป่าวจุดถ่ายรูปมันอยู่ตรงไหน แฟนเราเลยบอกว่าขึ้นไปดูนิดนึงก็ได้ถ้าไม่ใช่เราก็ค่อยเดินหาต่อ เราเดินบันไดขึ้นไปก็เจอกับ "Shiba Park" จุดนี้มุมดีมากเห็นโตเกียวทาวน์เวอร์แบบเต็มๆ เป็นสวนสาธาราณะเล็กๆ ใจกลางเมือง (ถ้าดึกแล้วไม่แนะนำให้ไปคนเดียวค่อนข้างเงียบและไม่มีคน)
เก็บภาพตรงนี้ไปแล้วแฟนเราก็อยากได้ภาพโตเกียวกับ "วัด Zojo-ji" ก็ได้ไกลกันมากโอเคไปต่อ เราเดินกลับลงไปทางเดิมจากนั้นข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เดินไปตามทางพอเจอสามแยกให้เลี้ยวซ้ายไป เดินซักพักด้านขวามือของเราจะเห็นรูปปั้นของ "จิโซ โบซัสสุ" (พระโพธิสัตว์ผู้พิทักษ์เด็ก) ประดับตกแต่งด้วยหมวกสีแดงและเครื่องประดับอื่นๆ แตกต่างกันไป ตอนแรกเราไม่ได้เอะใจมาก่อนว่าทำไมเหล่ารูปปั้นจิโซที่นี่ถึงมีการตกแต่งแปลกไปจากที่อื่น รู้แค่ว่าสวยหน้ารักดี มารู้ทีหลังว่ารูปปั้นเหล่านี้เป็นตัวแทนวิญญาณของเด็กที่เสียชีวิตก่อนจะคลอด T^T
ภาพจากเพจ TalonJapan.com |
ที่วัดโซโจถึงจะค่อนข้างมืดเพราะไม่มีแสงไฟแต่ไม่ค่อยน่ากลัวเพราะมีคนเดินผ่านไปมาตลอด แถมยังมีคนมาถ่ายภาพวัดโซโจกับโตเกียวทาวน์เวอร์อีกเพียบ เราถ่ายรูปกันซักพักก็เดินออกมาทางประตูหน้าเพื่อเดินเป็นวงกลมกลับไปที่สถานี Akabanebashi
เดินจากหน้าวัดโซโจผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ ตรงนี้เห็นวิวโตเกียวทาวน์เวอร์ชัดมากแวะถ่ายรูปกันอีกนิด เดินตามทางเลี้ยวขวาผ่านตลอดไปเรื่อยๆ ซ้ายมือจะเจอกับสนามเบสบอลเราหยุดยืนดูกับแฟนแปปนึงสงสัยกันว่ากติกาการเล่นเป็นยังไง พอถึงแยกไฟแพงเราก็จะเจอกับสถานี Akabanebashi อยู่ตรงข้ามพุ่งไปเลยจ้าไปต่อกันที่ชิบูย่า
เราเดินตั้งใจจะมาแวะทักทายน้องหมาฮาจิโกะกันค่ะแต่เราดันเดินมั่วๆ มาโผล่ตรงทางเชื่อมสถานีกับตึกชิบูย่ามาร์คซิตี้ ตรงนี้สามารถถ่ายวิวห้าแยกวุ่นวายได้ค่ะ แต่มีกระจกกันและมีลวดตาข่ายอันนี้ต้องถ่ายหลบๆ กันเองตอนเราไปถึงพอมีคนถ่ายรูปอยู่บ้างแต่ไม่มากค่ะ
หาทางออกมาได้เราก็เจอน้องหมาฮาจิโกะอยู่ด้านขวามือ ตรงนี้มีคุณลุงใจดีคอยบริการถ่ายรูปให้กับนักท่องเที่ยวด้วยนะคะ ส่วนเราได้รูปมาสมใจแล้วก็ลองเดินข้ามห้าแยกชิบูย่าดูค่ะ ส่วนตัวเราก็ว่ามันไม่ได้แปลกอะไรออกจะวุ่นวายมากมาย
มุ่งตรงไปที่สตาร์บัคกันเลยเราสั่งน้ำมาแค่แก้วเดียวเพราะกะว่าจะอยู่ไม่นาน เรารอรับน้ำอยู่ข้างล่างให้แฟนขึ้นไปหาที่นั่งบนชั้นสอง เราถ่ายรูปกันนิดหน่อยก็ออกมาความรู้สึกเราว่ามันก็ไม่ได้พิเศษอะไรวิวมันโดนบังด้วยเสาไฟอะไรต่ออะไรมามาย ครั้งหน้าอาจจะต้องขึ้นไปชั้นที่สูงกว่านี้
มองดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วคิดว่าเราต้องกลับที่พักแล้วไม่งั้นอาจจะตกรถไฟได้ เราคุยกับแฟนว่าวันนี้หาซื้อของที่ร้าน Recods มินิมาร์ทข้างที่พักกินแล้วกัน โชคดีที่เราตัดสินใจได้ถูกเราค้นพบกว่าข้าวหน้าเนื้อที่นี่อร่อยมาก (หรือหิวมากไป) โซบะเย็นก็รสชาติดีมากเช่นกันแถมราคาแค่ 650 เยนเท่านั้นเราลืมถ่ายรูปไว้มาถึงแกะกินเลยรู้ตัวอีกทีหมดกล่องแล้ว 5555+++ กินข้าวอิ่มแล้วก็ได้เวลานอนพักผ่อนจบกันไปอีกหนึ่งวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น