30 เมษายน 2561

Japan In Dream Day 4 ปราสาทโอซาก้า vs อาหาร

9 Apr 18

     วันนี้เราตื่น 5.30 เพื่อจะไปถ่ายรูปที่วัด Fushimi Inari ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยัง Osaka สาเหตุที่ต้องมาเช้าขนาดนี้เพราะว่าเราไม่อยากมาตอนคนเยอะๆ ถ่ายรูปทีติดคนเต็มไปหมด

วิธีเดินทาง: Shichijo Station >> Fushimi-Inari Station

     หลังจากลงรถไฟมาก็ไม่ต้องวุ่นวายหาทางออกสถานีนี้มีทางออกทางเดียว หลังจากเดินออกมาให้เราเลี้ยวไปทางซ้ายเดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับทางเข้าด้านข้างวัด เดินเล่นด้านหน้าวัดนิดๆ หน่อยๆ แวะไหว้ศาลเจ้าก่อนที่จะเดินไปที่แนวเสาโทริอิที่เรียงรายรอบภูเขากว่าหมื่นต้น


คิดว่าเราจะเดินรอบมั้ย >> ตอบเลยไม่!! บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อินกับวัดเท่าไหร่
เอ๊า!! แล้วมาเกียวโตทำไม >> ก็เค้าบอกว่าซากุระในเกียวโตสวยก็เลยมา วัดเลยแพลนเผื่อเลือก

     เดินเล่นชมเสาโทริอิจนหนำใจแล้ว เราก็กลับมาที่ K's House Kyoto เพื่อ Check Out ลากกระเป๋าออกเดินทางไปต่อกันที่ Osaka


วิธีเดินทาง: เดินจาก K's House Kyoto >> Kyoto Station >> Shin-Osaka


          จาก Shin-Osaka เปลี่ยนไปนั่ง (Osaka Metro) >> Namba Subway
 

     หลังจากเปลี่ยนมานั่ง Osaka Metro เราก็เริ่มใช้ Osaka Amazing Pass ได้เลย มุ่งหน้าไป Namba เต็มกำลังพอมาถึง Namba Station งงค่ะ ทางออกเยอะแยะไปหมด แต่ตามที่เราดูแผนที่มาคร่าวๆ ที่พักเราจะอยู่ใกล้ๆ ทางออกของรถไฟสาย Nankai เดินตามป้ายมาเรื่อยๆ เราบอกแฟนว่าให้ช่วยหาทางออกที่มีลิฟต์หรือบันไดเลื่อน จะได้ลากกระเป๋าได้สะดวก แล้วเดี๋ยวไปเดินข้างบนเอา


   สรุปเราออก Exit 1 ค่ะ พอขึ้นมาข้างบนได้ก็รีบเช็ค GPS ว่าอยู่ตรงไหน แล้วเดินต่อไปยังที่พัก ระหว่างทางเราก็สังเกตุไปด้วยว่าที่พักเราใกล้ทางออก E9 มากที่สุด ครั้งหน้าก็ไม่ต้องเดินสุ่มๆ แล้ว นี่คือข้อดีของการเดินหลงบนดิน 5555++


     พอเราเดินใกล้ถึงโรงแรมแฟนเราถามว่าใช่รึป่าวพร้อมกับชี้ไปที่ APA Hotel Namba-Higashi เราก็ดับฝันแฟนด้วยคำตอบที่โหดร้ายว่า เปล่า!! โรงแรมเราอยู่ข้างๆ ทางเข้าเล็กๆ นั่นไง แฟนเราก็ขำๆ ตอบกลับมาว่าก็ว่าอยู่ทำไมหรูจัง


     ที่พักของเราในโอซาก้าคือ Hotel Nissei OSAKA เราตั้งใจแค่จะเข้ามาฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน แต่ปรากฏว่าห้องถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว (หรือไม่ค่อยมีคนพัก 555++) พนักงานเลยให้เราเข้า Check In ได้เลย ห้องที่เราจองมาเป็นห้องแบบ Twin Bedroom มีอุปกรณ์ทั่วๆ ไปที่ควรมีในโรงแรมค่อนข้างครบ เสียอย่างเดียวคือกลิ่นบุหรี่แรงมาก เราก็จำไม่ได้ว่าจองห้องปลอดบุหรี่ไปรึป่าว จองเพราะถูกสุดเลยไม่ได้ทักท้วงทางโรงแรมขอเปลี่ยนห้อง เปิดหน้าต่างระบายอากาศก็พออยู่ได้ค่ะ แต่ใครที่ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่มากๆ ควรหลีกเลี่ยงที่นี่




     วันนี้เราเริ่มรู้สึกเจ็บเท้ามากขึ้นกว่าเดิม สาเหตุมาจากรองเท้าที่เอาไป ซัพพอร์ตเท้าได้ไม่ดีพอ แล้วเราเอารองเท้าไปแค่คู่เดียว ทำไงได้ต้องอดทนแล้วเดินต่อไป (เป็นความคิดที่พลาดมาก มันทำให้การเที่ยววันที่เหลือหมดสนุกไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว)  เก็บของและพักกันนิดหน่อยแล้ว ก็คิดว่าได้เวลาหาอะไรกินแล้ว เลยชวนกันไปหาตลาด Kuromon เดินจากที่พักเราไปไม่ไกลด้วย หิวๆ แบบนี้คงไปไหนไกลๆ ต้องเป็นลมก่อนแน่ๆ


     ตลาด Kuromon เป็นตลาดที่เราค่อนข้างชอบ เราว่าของมันน่ากินกว่าตลาด Nishiki พอสมควร เราเดินไปนิดนึงเจอเราก็เจอกับร้านซูชิ เห็นพนักงานกำลังเก็บจานวางอยู่เต็มไปหมด เราเลยคุยกับแฟนว่ามันน่าจะดีนะ เดินไปดูเมนูก็ดูโอเค เลือกคนละเมนูถ่ายรูปไว้เผื่อไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ เปิดประตูเข้าไปมีนักท่องเที่ยวต่างชาตินั่งอยู่สองคน ทั้งร้านมีที่นั่งประมาณ 8 ที่นั่ง พอเราเข้าไปเชฟก็ยื่นเมนูภาษาอังกฤษให้ เราก็จิ้มไวๆ ไปคนละเมนูตามที่คิดมาหน้าร้านแล้ว เพิ่มซาชิมิแซลม่อนมาอีก 1 จาน พร้อมโคล่าและเบียร์เหมือนเดิม (เป็นเครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้สินะ)




     นั่งดูพ่อครัวปั้นซูชิกันเพลิน ร้านทั้งร้านค่อนข้างเงียบ เราเลยไม่กล้าคุยกันเสียงดังแอบกระซิบกระซาบกันว่ามันจะอร่อยมั้ย จะเป็นไงนะ ซักพักเชฟก็ส่งอาหารที่สั่งทั้งหมดมาให้เรา กินเข้าไปคำแรกอื้ออออ อร่อยแฮะ เราเป็นคนไม่ชอบกินซูชิเท่าไหร่กะว่าถ้ากินไม่ได้จะยกให้แฟนกินไป แต่ร้านนี้โอเคอร่อยใช้ได้ ซาชิมิก็สด กินไป 10 คำ เหมือนจะอิ่มๆ เลยไม่ได้สั่งต่อ ระหว่างรอจ่ายเงินเราก็หาว่าร้านนี้ชื่ออะไร ในร้านไม่มีชื่อภาษาอังกฤษหรือภาษาญี่ปุ่นที่เราพอจะอ่านออกเลย เลยลองเปิด google ให้ดูจิ้มๆ ชื่อร้านซูชิในแผนที่ได้ชื่อมาว่า "ร้าน Yamatoya"



     ออกจากร้านซูชิเหมือนจะอิ่มแต่ก็ไม่อิ่มยังไงก็ไม่รู้ เดินหาของกินไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่าสิ่งที่ Kuromon สู้ Nishiki ไม่ได้คือขนม ขนมญี่ปุ่นที่เกียวโตอร่อยกว่า แต่อาหารเราให้ที่นี่ชนะขาดค่ะ วนๆ ไป เจอร้านเนื้อวากิวย่าง คนรุ่มเต็มไปหมด ร้านนี้ชื่อว่า "Niku Hoshi" เป็นร้านขายเนื้อ Matsuzaka ด้วยความหอมเราสองคนทนต่อไปไม่ไหว จัด A5 มา 1 ไม้ค่ะ แค่ไม้เดียวก็ราคา 3,000 เยนแล้ว  T0T แฟนเราสั่งโอเด้งมาอีก 1 ถ้วย ราคา 1,200 เยน กินแก้เลี่ยน



     หลังจากเราคิดว่าไม่มีอะไรที่ต้องกินกันอีกแล้วก็ได้เวลาไปปราสาทก่อนที่มันจะปิดก่อน ดูนาฬิกาตอนนี้บ่ายสองแล้ว ปราสาทปิด 17.00 น. ดังนั้นเราต้องทำเวลา ถึงจะรีบแค่ไหนเราก็เดินเร็วไม่ได้ดังใจ เพราะเริ่มเจ็บเท้ามากจนแทบจะไม่อยากก้าวเท้าเดินแล้วด้วยซ้ำ แต่ถ้าพลาดวันนี้ไปเราคงไม่ได้ปราสาทแล้ว เราเลยอดทนเดินทางต่อไป

ผลไม้ล้างปาก

วีธีเดินทาง: Nippombashi Station >> Morinomiya Station / Exit 1 or 3B

     เดินออกจากสถานีจะเจอ Osaka Castle Park จะเลือกเดินผ่านสวน หรือ นั่งรถรางไปปราสาทก็ได้ ส่วนเราเลือกเดินค่ะ เดินไปเรื่อยๆ เราก็พบความจริงอันโหดร้ายเพราะการจะเดินไปถึงปราสาทได้นั้นจะต้องขึ้นบันไดที่สูงมาก เจ็บเท้าเบอร์แรงขนาดนี้แค่ทางธรรมดาเราก็แย่แล้ว



     แต่ในที่สุดเราก็เดินขึ้นมาถึงจนได้ แต่จากจุดนี้เดินไปอีกประมาณ 900 เมตร เราก็มาถึงปราสาทโอซาก้า วันนี้ฟ้าเปิดมากปลาทองระยิบระยังอยู่ท่ามกลางแสงแดด เราสองคนแวะถ่ายรูปหน้าปราสาทกันสักพัก เพราะแดดกำลังดีแสงกำลังได้ จากนั้นก็เดินแวะหาของกิน (ยังไม่หยุดกิน) เราสั่งซอฟต์ครีมซากุระมาลองชิมดูรสชาติหวานมันดี แต่กลิ่นซากุระไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่โดนรวมก็จัดว่าโอเคน่าลอง


     กินซอฟต์ครีมและนั่งพักขาเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาไปสำรวจในปราสาทกัน ค่าเข้าชมปราสาทโอซาก้า 600 เยน แต่เราใช้บัตร Osaka Amazing Pass เข้าฟรีค่ะ ยื่นบัตรให้พนักงานแสกนบาร์โค้ดเรียบร้อยแล้วก็ไปต่อคิวขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 5 ของปราสาท แล้วเดินขึ้นไปอีก 3 ชั้นจะถึงจุดชมวิว สำหรับเราแล้วมันไม่ได้มีอะไรมากเพราะวิวสวยๆ ถูกกั้นด้วยตาข่ายอีกชั้นถ่ายรูปมาก็ติดตาข่ายไปหมด เราเลยเดินไปซื้อของที่ระลึกแล้วลงไปดูส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์



     เราชอบการนำเสนอของพิพิธภัณฑ์ของปราสาทโอซาก้ามาก มีทั้งปราสาทจำลอง หุ่นจำลองการทำสงคราม มีละครสามมิติให้ดูถึงเราจะฟังไม่เข้าใจแต่ก็พอรู้เรื่องบ้างจากท่าทางขอนักแสดง จุดไหนที่ห้ามถ่ายรูปจะมีเจ้าหน้าที่คอยประจำอยู่คนไหนแอบถ่ายถ้าเจ้าหน้าที่เห็นก็จะเดินไปบอกด้วยความสุภาพขอให้หยุดถ่ายรูป ของที่จัดแสดงอยู่ที่เราชอบมากที่สุดคือ ดาบซามูไร กับ ชุดเกราะ เหมือนถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี


     พอออกจากปราสาทเราก็บอกแฟนว่าเริ่มไม่ไหวแล้วเจ็บเท้ามากให้เรานั่งพักก่อนค่อยไปต่อ เราตั้งใจว่าออกจากปราสาทแล้วจะไป Umeda Sky Building ต่อ แต่เมื่อไม่ไหวเราก็คงไม่ฝืนตัดใจเลือกที่จะกลับที่พัก เราเลือกไปลงสถานี Shisaibashi เพราะต้องหาซื้อรองเท้าใหม่ที่ใส่สบายกว่านี้


     เดินเล่นผ่านย่าน Americanmura ย่านนี้ขายรองเท้า เสื้อผ้า ของใช้วัยรุ่นแนวๆ เยอะมาก คล้ายฮงแดของเกาหลีเลย แต่แฟชั่นที่นี่จะเจ็บกว่าหน่อยโดยรวมแล้วเราชอบมากกว่าที่ฮงแด เดินหารองเท้ามาเรื่อยๆ สุดท้ายเราได้ New Balance ใน ABC Mart มา 1 คู่ เดินกลับเข้าที่พักแช่เท้าแปะแผ่นแก้ปวดซักหน่อย ค่อยออกเที่ยวใหม่ตอนเย็นๆ

     เย็นนี้เรากับแฟนตั้งใจว่าจะไปกินคุชิคัตสึ (Kushikatsu) ทุ่มตรงเรานัดน้องที่รู้จักเดินจากที่พักไปที่ย่าน Shinseikai ระหว่างทางเราต้องผ่าน Den Den Town แลนด์มาร์กของคนที่ชื่นชอบอะนิเมะ คล้ายๆ กับ Akibahara ในโตเกียว เรา 4 คนแวะไขกาชาปอง ลองเล่นตู้คีบตุ๊กตากันเพลินมาก ถึง Shinseikai อีกทีร้านด้านหน้าปิดแทบจะหมดแล้ว


     แต่พอเดินเข้าไปอีกนิดจะเจอร้านอาหารยังเปิดอยู่เต็มไปหมด เราเลือกมองหาร้านคุชิคัตสึและเลือกมาร้านนึง ชื่อร้าน "Kushiage" พออาหารและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเรียบร้อยพวกเราก็เริ่มกินกัน วิธีกินคือให้เราเอาของเสียบไม้จุมลงไปในโถน้ำซอส ถ้ากัดแล้วห้ามเอาไปจุ่มซ้ำ ให้ใช้ใบผักตักน้ำซอสมาราดแทน แต่ร้านที่เรากินไม่เห็นมีผักมาให้เราก็ไม่ได้ถามเพราะไม่ชอบกินผัก อาศัยจุ่มให้ชุ่มก่อนค่อยกิน


     ถ่ายรูปเสร็จเราก็ยังคงวนเวียนหยอดกาชาปองแถวๆ ย่าน Shinseikai ต่อ แล้วก็เดินหามุมถ่ายรูปสุดฮิตของที่กัน เป็นรูปปลาปักเป้ากับหอคอยชินเซไก กว่าเราจะถ่ายรูปกันจนพอใจก็เป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว พวกเลยคิดว่ากลับกันดีกว่า เดี๋ยวรถไฟหมดต้องเดินกลับกันไกล


     แต่เราอยากจะหาแผ่นแปะแก้ปวดเพิ่มซะหน่อย แถวที่พัก Don Quijote อยู่ใกล้ๆ แถมเปิด 24 ชั่วโมง รอช้าอยู่ทำไม เราชวนน้องผู้หญิงออกไปหาซื้อของกัน ส่วนแฟนเรากับน้องผู้ชายก็ไปกินเบียร์แถวๆ ที่พัก ซื้อของกันเพลินเดินกลับมาถึงที่พักประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ พรุ่งนี้นัดกัน 7.00 เช้าไปถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะกัน เช้าๆ หวังว่าคนจะน้อย
บ๊วยแปะเท้าได้เหรอ 5555++


29 เมษายน 2561

Japan In dream: Day 3 เกียวโต เน้นชิลล์ ไม่ไปวัด

8 Apr 18

     เมื่อวานเราคุยกับแฟนว่าเราไม่อินกับวัดเลย รู้สึกว่าเฉยๆ กับการมาเที่ยวเกียวโต ฉะนั้นวันนี้เราจะเปลี่ยนแผน วัดอื่นๆ ไม่ไปแล้ว Kiyomizudera ก็ยังปิดซ่อมอยู่ ถึงไปก็เท่านั้น เอาเวลาไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า

     วันนี้ก็ยังคงตื่นเช้าเช่นเคย 4.30 น. เราก็ลุกอาบน้ำแต่งตัว จัดของกันไปจัดของกันมาสุดท้ายก็ไปไม่ทันรถไฟไป Saga-Arashiyama Station เที่ยวแรกเลยต้องไปเที่ยว 6.04 แทน


     ก่อนมา Arashiyama เราได้หาเส้นทางเดินเข้าป่าไผ่มาแล้ว เราต้องออกทาง South Exit เพื่อไป Arashiyama Bamboo Forest หรือ ป่าไผ่นั่นเอง หลังออกจากสถานีให้เดินเลี้ยวขวาไปตามทางเล็กๆ ที่เป็นเส้นทางจักรยาน เปิด GPS ตามไปด้วยกันพลาด เพราะตอนนี้ยังเช้ามากเส้นทางที่เดินมาจึงค่อนข้างเงียบ คาดว่าคนญี่ปุ่นคงยังไม่ตื่นกัน เรามีเพื่อนร่วมทางประปราย ทุกคนน่าจะมีจุดหมายเดียวกันคือป่าไผ่ ระหว่างเดินไปป่าไผ่ก็แวะถ่ายรูปกันเป็นพักๆ


     เดินมาถึง Nonomiya Shrine เราก็จะเจอพระกวาดถนนอยู่ ระหว่างที่เราเดินผ่านเค้าก็จะหยุดกวาด บางคนก็ทักทายเราเป็นภาษาญี่ปุ่น เราก็ทักทายกลับไปตามมารยาท มาเที่ยวได้ 2 วันจำไม่ได้ว่าโค้งไปแล้วกี่รอบ 555+++


     ก่อนถึงศาลเจ้าจะมีป้ายบอกทางเข้าป่าไผ่ เราก็เลี้ยวซ้ายไปตามไปเลย ช่วงนี้คนยังไม่เยอะเราเลยได้ถ่ายรูปแบบสบายๆ ไม่แออัด แต่จุดที่สวยที่สุดดันโดนช่างภาพถ่ายพรีเว้ดดิ้งกลุ่มนึงมาจับจอง ยืนรอแล้วรออีก เค้าก็ยังถ่ายไม่เลิก โอเคเดี๋ยวเดินมาใหม่


     เราเห็นต้นซากุระบานอยู่ทาง Kameyama Park ลิบๆ เลยชวนแฟนมาเดินเล่นก่อน เราเดินขึ้นไปจุดชมวิวด้วย ระยะทางเดินขึ้นมาไม่ไกลมา ทางเดินง่ายไม่ลำบากอะไร จุดชมวิวนี้เราคิดว่าช่วงใบไม้แดงคงสวยมากแน่ๆ ตอนที่เรากำลังยืนถ่ายรูปอยู่มีคุณยายชาวญี่ปุ่นท่านนึงเดินมา ปีนขึ้นบนเก้าอี้นั่งตรงจุดชมวิว แล้วอยู่ๆ แกก็ร้องตะโกนอะไรซักอย่างขึ้นมา เรากับแฟนตกใจเพราะตรงนั้นมันเงียบมาก แกตะโกนอยู่สองประโยคทำท่าเหมือนไหว้อะไรซักอย่างแล้วก็ไป เราสองคนก็ได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มๆ ไม่กล้าหัวเราะแรงกลัวคุณยายแกได้ยิน (เดาเอาเองว่าคงเป็นการไหว้เทพเจ้าซักอย่าง)


     จากจุดชมวิวกลับลงมาด้านล่างจะเจอทางเดินไปตรงจุดที่มีดอกท้อบานสะพรั่งอยู่ (กำลังติดซีรี่ย์ป่าท้อต้องแวะถ่ายรูปซะหน่อย) ซากุระโรยหมดแล้ว แต่ได้ดอกท้ออลังการขนาดนี้โอเค!! เกียวโตยังได้อยู่


     เราย้อนกลับไปดูตรงป่าไผ่เพื่อดูว่าแก็งค์พรีเว้ดดิ้งเลิกไปรึยัง เห็นกำลังยกขาตั้งกล้องออกเรากับแฟนก็ดีใจ เย้!! คงเลิกแล้ว แต่ที่ไหนได้ยกขาตั้งกล้องออกให้เอารถสปอร์ตเข้าไปเพื่อเป็นพร็อพในการถ่ายรูป สองเท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าหยุด กึก ร่ำร้องในใจ เชี้ยยยยยย !!!! เลยบอกกับแฟนว่าเราได้รูปแล้วไปที่อื่นกันดีกว่า


     เราเลยเดินย้อนกลับไป Kameyama Park อีกรอบ ทีนี้เดินไปตามป้าย Togetsu-kyō 渡月橋 เพื่อไปสะพานโทเคะทสึ เราตัดสินใจถูกมาที่หาข้อมูลมาก่อนหน้าแล้วรู้ว่าสวนนี้ตัดออกไปตรงสะพานได้ ระหว่างทางในสวนมีต้นไม้สวยๆ เยอะมาก แปลกตา นี่สินะเรียกว่า "จุดหมายไม่สําคัญเท่ากับระหว่างทาง"


     เดินออกจากสวนมาเราก็หันไปเห็นตู้กดน้ำ สิ่งที่เราตามหาอยู่คือ ซุปข้าวโพด ตั้งแต่มาถึงแวะดูทุกตู้กดแต่ก็ยังไม่เห็นซักที่ (เห็นคลิป Ilovetogo กินกันแล้วเค้าว่าดี ตัวพี่นี้ก็อยากลอง)  นั่งพักขาตรงที่นั่งริมแม่น้ำ Katsura มองดูเวลายังไม่ถึง 7 โมงเช้าเลย วันนี้วันชิลล์ไม่รูป น้ำใสเห็นตัวปลา ปลาตัวใหญ่ๆ อ้วนๆ ทั้งฝูง อากาศเย็นๆ กำลังดี ฟินอะไรเช่นนั้น  เราสังเกตุว่าแถวนี้มีเจ้าของพาหมามาเดินเล่นตอนเช้าเยอะมาก แต่น่าแปลกใจคือถนนสะอาดมาก ไม่มีฉี่ไม่มีอึหมาให้เห็นเลย พอดีมีน้องหมาตัวนึงอึเราเห็นเจ้าของเอาอุปกรณ์ออกมาเก็บเรียบร้อย นี่สินะที่มาของความสะอาด


     เดินมาเรื่อยๆ เราก็จะเจอกับร้านกาแฟที่ช่วงนี้ดังมากใน Arashiyama "ร้าน % Arabica Arashiyama" เราถามแฟนว่ากินมั้ยร้านนี้ช่วงนี้ฮิตนะคิวน้อยด้วย เลยฝากสั่งโก้โก้หรือช็อคโกแลตร้อนเพราะเราไม่กินกาแฟ แต่สรุปว่าร้านนี้มีแค่กาแฟกับพวกขนมปังขายเท่านั้นเราก็อดกินไป ซดชาร้อน (ซึ่งไม่ร้อนแล้ว) จากตู้กดต่อไป


     ตอนนี้เวลา 8 โมงนิดๆ เราสองคนเริ่มหิว จริงๆ ตั้งใจมารอกินโซบะร้าน Arashiyama Yoshimura แต่อีกตั้งชั่วโมงแหนะ รู้สึกเหมือนฝนเริ่มปรอยๆ ลงมาด้วย สุดท้ายเราก็เลยตัดใจไม่รอเดี๋ยวไปหาอะไรกินที่ตลาด Nishiki ก็ได้



วิธีเดินทาง: Saga-Arashiyama Station >> Kyoto Station 240 เยน >> Shijo Station 210 เยน

     เราเดินออกมาจาก Shijo Station Exit 1 ตอนขึ้นมาก็ว่าเช็คดีแล้วว่าต้องเดินไปทางไหน สุดท้ายเราก็หลง ระหว่างเดินหลงทางเราก็ถ่ายรูปเล่นไปด้วยเพลินๆ แต่พอรู้ตัวว่าหลงมาไกล ต้องเดินย้อนกลับไป 1.8 km ไม่มีรถไฟผ่าน ความสนุกความเพลินก็เปลี่ยนเป็นเสียงโอดครวญทันที
     
เดินหลงไปเรื่อย
     สุดท้ายเราก็มาถึงตลาด Nishiki ตอน 10 กว่าๆ ของกินที่เยอะจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว เราก็เดินงงๆ กันอยู่พักนึงว่าจะกินอะไรกันดี


เห็นปลาไหลเสียบไม้กับไข่ม้วนดูน่ากินดีเลยหยิบมาคนละไม้ หื้อออออออ เย็นอะไรเบอร์นั้น ไม่อุ่นให้เลยหรอ ถามว่าอร่อยมั้ยตอบเลยว่าจะดีมากถ้ามันร้อน พอไม่มันแล้วก็ไม่อร่อยเท่าไหร่


    เลยมาอีกนิดเห็นร้านนึงขายปลาไหลและไข่ม้วนเหมือนกัน แต่ร้านนี้อุ่นให้ด้วย แซร๊ดดด!! มองซ้ายมองขวาหาของกินต่อเราก็ไปสะดุดตากับกุ้งเสียบไม้ กุ้งเด้งๆ รสชาติเปรี้ยวจากเลม่อนนิดๆ เค็มเกลือหน่อยอร่อยดี


     เรารู้สึกว่ายังไม่อิ่มเลยมองหาอะไรกินเพิ่ม เจอคนต่อคิวซื้อทาโกะยากิเยอะพอสำควร ร้านนี้สั่งง่ายเพราะมีเมนูภาษาอังกฤษอยู่หน้าร้าน แต่มันไม่ง่ายอย่างที่เราคิดเพราะเราต้องหยอดเหรียญกดบัตรจากตู้เพื่อซื้อทาโกะยากิ ยื่นบัตรให้พนักงานและรอรับอาหาร รสชาติทาโกะยากิร้านนี้เราว่าโอเคแต่ไส้หมึกชิ้นเล็กไปหน่อย ส่วนตัวแป้งเป็นแบบนิ่มต่างจากที่มีขายในไทย


     ตบท้ายด้วยวาราบิโมจิกับซากุระโมจิเลยลองซื้อมาอย่างละอัน วาราบิโมจิอร่อยมาก ซากุระโมจิก็ใช้ได้แปลกๆ ดีไม่หวานมาก



    จบจากตลาดเราก็อยากไป Book off หาเสื้อกันหนาวมือสองเพราะมีคนบอกไม่หนาวเราเลยเอาเสื้อกันหนาวมาตัวเดียว แถมโดนลมแล้วก็ไม่ค่อยอุ่น อุตส่าห์ไม่ไปกินโซบะร้าน Honke Owariya เพื่อไปหาเสื้อกับ DVD แต่เราก็ไม่ได้อะไรเลย เหนื่อยจะเดินกันแล้วเลยตัดสินใจว่ากลับไปนอนและพักขาซะหน่อย เย็นๆ ค่อยออกมาเดินเล่นแถวตรอก Higashiyama


     นอนหลับไปตื่นนึงก็ได้เวลาออกไปถ่ายรูป Yasaka Pagoda แถวๆ ตรอก Higashiyama จากที่พักเราเดินทางไปไม่ยาก เพราะลงป้ายเดียวกันกับตอนที่เราไปเช่าชุดกิโมโนเลย เมื่อไปถึงให้ข้ามไปฝั่งตรงข้ามกับ Okamoto Kimono (หันหน้าเข้าหาร้าน Okamoto แล้วเดินไปข้ามทางมาลายทางขวามือ มีอยู่จุดเดียว)  เดินเข้าซอยมากจะเห็น Yasaka Pagoda อยู่สุดทางเดินเลย สองข้างทางก็เป็นร้านขายขนมพวกขนมญี่ปุ่น


     เราเดินไปสำรวจไปเรื่อยๆ แวะกินโมจิกับวาราบิโมจิของ "ร้าน Fujinami" สาขา Kiyamizu ร้านคนค่อนข้างเยอะ ช่วงเราต่อคิวสั่งขนมและเล็งๆ หาที่นั่งกันโชคดีที่สั่งเสร็จแล้วมีคนลุกพอดี เซ็ตที่เราสั่งจะได้วาราบิโมจิ ขนมดังโงะ และชาเขียว 2 แก้ว เราชอบชาเขียวของร้านนี้มาเราสั่งแบบชาเขียวร้อน สัมผัสแรกที่ชาเข้าปากจะได้ความรู้สึกขม สักพักจะรู้สึกหวานหอมอยู่ในปาก ฟินขั้นสุด ชาเขียวดีๆ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง


     หลังจากขนมหมดเราก็เดินถือชาเขียวออกมาด้วย ต้องรีบกินรีบลุกแบ่งๆ ที่นั่งให้คนอื่นบ้าง เราก็เดินวนๆ อยู่แถวนี้เพราะแฟนเรามี Mission ในการถ่าย Yasaka Pagoda ตอนช่วงเย็น ใกล้ได้เวลาเหล่าช่างภาพทั้งหลายเริ่มเดินมาหาที่ปักหลักถ่ายรูป ส่วนเราก็หาที่นั่งรอดื่มด่ำกับชาเขียวร้อนแก้หนาวต่อไป ระหว่างรอก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพูดคุย ขอให้เราช่วยถ่ายรูปให้บาง บางคนก็อยากถ่ายรูปกับบ้านโบราณที่เรานั่งอยู่ บางคนก็ปีนบรรไดหินขึ้นไปถ่ายรูปบ้าง รอไปรอมากว่าแฟนเราจะถ่ายรูปก็เกือบๆ 2 ทุ่มแล้ว นั่งรออยู่ 3 ชั่วโมงกว่าจะ Mission Complete


     ตอนนี้ร้านต่างๆ ในตรอก Higashiyama ปิดเกือบหมดแล้ว ร้านต่างๆ ในเกียวโตปิดค่อนข้างไว 2 -3 ทุ่มก็เริ่มปิดแล้ว เราเลยกลับไปตั้งหลักกันที่ที่พักก่อน หลังจากเก็บของกันเรียบร้อยแล้วก็ตกลงกันว่าจะกลับไปกินร้านลุงเมื่อวานเพราะลุงเปิดดึก แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเราวันอาทิตย์เป็นวันหยุดของร้านลุง อ๊ากกกก!!! ทำไงดีร้านปิดหมดแล้ว นึกสิๆๆๆๆ ในที่สุดเราก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานขากลับมาจากคืนกิโมโนเราเห็นร้าน Yoshinoya อยู่น่าจะเปิด 24 ชั่วโมง เดินข้ามสะพาน Shichijo ตรงไปเรื่อยๆ จะเจอ Yoshinoya อยู่ฝั่งซ้าย ร้านยังไม่ปิด เรารีบตรงดิ่งเข้ามาเพราะหิวมากแล้ว สั่งมาคนละ 1 เมนู พร้อมโคล่าและเบียร์


     รสชาติแกงกะหรี่ที่นี่ดีกว่าแฟรนไชส์ที่อยู่ในบ้านเรา ใครที่ชอบแกงกะหรี่ควรลอง ขนาดเราไม่ได้ชอบมากยังคิดเลยว่าอร่อยไม่เลี่ยน อากาศหนาวๆ แบบนี้กินแกงกะหรี่ร้อนๆ เข้าไปก็ช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้